รีวิว…ฉลองครบรอบ 3 ปี กับ 10 ร้านอาหารโซนไดนิ่งของศูนย์การค้าดิ เอ็มควอเทียร์ (ตอนที่ 1)

เผลอแป๊บเดียวโซนไดนิ่งของศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ก็ครบรอบ 3 ปีแล้ว ทางห้างเลยจัดแคมเปญใหญ่ “The Emporium and The Emquartier 3rd Anniversary Dining Celebration” เพื่อเฉลิมฉลองตั้งแต่วันนี้ถึง 20 กรกฎาคม ศกนี้

โดยมีร้านอาหารชั้นนำกว่า 20 ร้านที่อยู่ภายใน ดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ เข้าร่วมรายการได้แก่ Mozza by Cocotte, La Baguette, Vanilla Cafeteria, SAVA All Day Dining, Mokuola Hawaii, South Tiger (เสือใต้), La Monita Mexican Urban Cantina, IWANE Ü (อิวาเนะ วี), TSUJIRI, Crab & Claw, Le Dalat, Ramen Misoya, Nara Thai Cuisine, TenyuuSho, Pot Ministry, Café Chilli, Shio Yoshoku, Bella Rocca, The Chop และ Mugendai Penthouse

ครบรอบ 3 ปีทั้งที ทีมงานซูมซอกแซกก็ไม่พลาดขอเชิญชวนนักชิมทั้งหลายที่กำลังหาที่ชิมอาหารใหม่ๆ ให้มาชิมที่งานนี้ เพราะทุกร้านที่เข้าร่วมรายการนั้นได้คัดสรรเมนูเด่นๆ เด็ดๆ มาให้เลือกชิมมากมายเลยค่ะ

ซึ่งทีมงานก็ได้ไปชิมและคัดเลือกมาแนะนำถึง 10 ร้านด้วยกัน แต่ถ้าลงให้อ่านทีเดียวหมดก็เกรงว่าจะอ่านกันตาลาย และเลือกไม่ถูกว่าจะไปทานที่ร้านไหนดี ก็เลยขอแบ่งออกเป็น 2 ตอนนะคะ

แต่ก่อนที่เราจะไปชิมอาหารกันก็อยากแนะนำให้แวะไปที่เช็คอินใหม่ ไปชมวิวสวยๆ ของศูนย์การค้า The Emquatier ซึ่งก็คือ “Sky walk กระจกใส” ที่ตั้งอยู่บนทางเชื่อมชั้น 5 ระหว่าง Helix Quartier และ Glass Quartier บริเวณ Quartier Water Garden ใกล้กับ Escape Bangkok บาร์ ขอบอกเลยนะคะว่าตอนเดินก็แอบขาสั่นอยู่เหมือนกัน ส่วนคนที่กลัวความสูงก็ต้องรวบรวมความกล้ากันหน่อยนะคะ

เมื่อชมวิวสวยๆ และทดสอบความกล้ากันเสร็จเรียบร้อย เราก็มาเริ่มชิมอาหารกันเลยค่ะ เรามาเริ่มกันที่…

1. SAVA All Day Dining ณ ศูนย์การค้า ดิเอ็มควอเทียร์ ชั้น 6

ซาว่า ร้านอาหารของ “คุณหมู พลพัฒน์ อัศวะประภา” แฟชั่นดีไซเนอร์ เจ้าของแบรนด์ดัง “ASAVA” ภายในร้านตกแต่งด้วยสีโทนน้ำเงิน-ขาว ร้านนี้เป็นร้านอาหารไทยฟิวชั่น ที่นำศิลปะอาหารทั้งไทยและเทศมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว จนออกมาเป็นเมนูจานเดียวที่ทานง่าย ในราคาที่เอื้อมถึงได้

สำหรับคนที่อยากลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ของอาหารไทย แนะนำให้มาที่ร้านนี้เลยค่ะ เพราะเมนูอาหารทั้งของว่าง จานหลัก และขนม มีให้เลือกหลากหลายมากจริงๆ โดยแต่ละจานจะถูกคิดค้นสูตรและจัดวางให้ดูน่ารับประทาน

“หนังไก่ทอดกรอบ” (160 บาท) หนังไก่ทอดกรอบ จิ้มซอสพิเศษสูตรเฉพาะของ Sava ที่รสเปรี้ยวนิดๆ ช่วยเรียกน้ำย่อยได้ดี

“ข้าวกากหมูคุโรบุตะคั่วพริกเกลือ” (195 บาท) เมนู signature ทานคู่กับไข่ต้มยางมะตูม ที่อร่อยจนวางช้อนไม่ลงค่ะ

“เส้นใหญ่คั่วกลิ้งหมูคุโรบุตะ” (320 บาท) เส้นใหญ่คลุกซอสคั่วกลิ้งจนเข้าเนื้อ ผัดกับหมูคุโรบุตะหมักซอสคั่วกลิ้ง เป็นเมนูง่ายๆ ที่แสนจะอร่อยค่ะ

“หมูคุโรบุตะย่างแจ่ว” (290 บาท) หมูคุโรบุตะย่างจนหอม จิ้มแจ่วแซ่บๆ เสิร์ฟพร้อมกับข้าวจี่ และผักสด

“Pudding มะตูมอุ่น” (220 บาท) พุดดิ้งมะตูม อุ่นมาร้อนๆ โรยหน้าด้วยมะตูมแห้งชิ้นจิ๋ว ราดซอสคาราเมล เสิร์ฟพร้อมกับไอศครีมวนิลา ทานคู่กันแล้วฟินมากค่ะ

“Granita Plum” (100 บาท) น้ำบ๊วยปั่นรสเยี่ยม มาเป็นเกล็ดใหญ่ๆ ทานแล้วสดชื่น

2. TWG Salon & Boutique ณ ศูนย์การค้า ดิเอ็มโพเรียม ชั้น M

TWG มีชื่อเสียง โดดเด่นในเรื่องของ “ชา” และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เมื่อมองเข้าไปในร้านก็จะเห็นโถชาเรียงรายอยู่ทั่วบริเวณ รวมไปถึงมีขายพวกเบเกอรี่ต่างๆ  อาทิ เค้ก และมาการอง เป็นต้น

แต่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้คือที่ TWG นอกจากจะเสิร์ฟชา และเบเกอรี่แล้ว ยังมีเมนูอาหารให้เลือกสรรอีกด้วย ซึ่งทางร้านจะนำชาชนิดต่างๆ มาจับคู่ปรุงรสคู่กับอาหารแต่ละเมนู เพื่อเสริมให้มีรสชาติและกลิ่นที่ชวนลิ้มลองมากขึ้น ดังนั้นเราจะมาแนะนำเมนูเด็ดที่ว่ากันค่ะ

“ผัดไทยปูนิ่ม” (320 บาท) ใช้เส้นจันทร์ผัดกับเต้าหู้ กุ้งแห้งทอดกรอบ หอมแดง และต้นหอม ปรุงรสด้วยซอสผัดไทยที่ผสมกับ “Caramel tea” ชาดำคาราเมลที่ช่วยเพิ่มความหอมและหวานให้กับเมนูนี้ได้อย่างลงตัว จัดเสิร์ฟพร้อมกับปูนิ่มทอดกรอบ สำหรับคนชอบทานเปรี้ยว เพียงบีบมะนาวสักเล็กน้อยก็จะเพิ่มความละมุนให้กับจานนี้มากขึ้นค่ะ

“ผัดกะเพราล็อบสเตอร์” (390 บาท) เมนูนี้โดดเด่นที่รสชาติจัดจ้านเข้าเนื้อของล็อบสเตอร์ที่ผัดกับใบกะเพราทอดกรอบ ปรุงรสพร้อม “Black Nectar tea” ชาดำหลากรสจากมะม่วง สับปะรด และเครื่องเทศหลากชนิด เสิร์ฟพร้อมข้าว 2 สี ข้าวไรซ์เบอร์รี่ และข้าวหอมมะลิที่หุงกับ “Red Jasmine tea” เพิ่มความหอมให้ข้าวมากขึ้น เคียงด้วยไข่ดาวทอดกรอบ นับเป็นเมนูที่ลงตัวสุดๆ ค่ะ โดยส่วนตัวจะชอบให้มีน้ำกะเพราราดชุ่มๆ จะฟินมากกว่านี้

“ทีดับเบิลยูจี ที ไทย แพลตเตอร์” (690 บาท) เป็นเมนูที่รวบรวมอาหาร 6 ชนิดเอาไว้ด้วยกัน จัดวางมาเป็นชั้นๆ อย่างสวยงาม น่ารับประทาน ประกอบด้วย

  1. “ยำส้มโอกับทับทิม” คลุกเคล้าด้วยน้ำยำผสม “Miss tea” ชาเขียวผสมดอกทับทิม และสตอเบอร์รี่จากเบอร์มิวด้า เมนูนี้อร่อยกลมกล่อมและเคี้ยวกรุบมากค่ะ
  2. “เนื้อแดดเดียว” โรยใบ “Sencha tea” ชาเขียวที่เพิ่มความอร่อยค่ะ
  3. “ลาบไก่สับ” ผสม “Black Nectar tea” ชาดำหลากรสจากมะม่วง สับปะรด และเครื่องเทศหลากชนิด เสิร์ฟในถ้วยแตงกวาเก๋ๆ
  4. “พล่าแซลมอนรมควัน” แซลมอนรมควัน คลุกเคล้าด้วยยำสมุนไพรผสม “Earl Grey Gentleman” ชาดำที่เหมาะกับจานแซ่บๆ
  5. “ปอเปี๊ยะทอด” ไส้เนื้อปูผัดกับวุ้นเส้นและผัก ราดซอสมะขามผสม “Caramel tea” ชาดำคาราเมลที่ช่วยเพิ่มความหอมและหวาน
  6. “สะเต๊ะ” มาครบทั้งเนื้อวากิว ไก่ กุ้ง จิ้มกับน้ำจิ้มผสม “Coconut tea” ชาดำมะพร้าวจาก Caribbean เคียงด้วยอาจาด เมนูนี้เป็นรายการที่ชาวต่างชาติชื่นชอบมากที่สุด เพราะได้ทานอาหารไทยหลากหลายเมนูในเซทเดียว

“วนิลา พานาคอตต้า” (230 บาท) ที่เพิ่มความหอมอร่อยด้วย “Vanilla Bourbon tea” เสิร์ฟพร้อมซอสเสาวรสฉ่ำๆ และสตอเบอร์รี่สด ทานแล้วเย็นชื่นใจดีค่ะ

3. Shio Yoshoku ณ ศูนย์การค้า ดิเอ็มควอเทียร์ ชั้น 8

ร้านอาหารฟิวชั่นที่มีกลิ่นไอความเป็นญี่ปุ่นแทรกซึมในทุกๆ จาน โดย “เชฟแก้ว” (เจ้าของร้าน) ซึ่งมีความตั้งใจและพิถีพิถันในการคัดสรรวัตถุดิบ และหมั่นคิดค้นปรับสูตรอาหาร รวมถึงการสรรหากรรมวิธีเพื่อนำเสนออาหารให้น่ารับประทาน

ล่าสุดคุณแก้วนำเอาวัฒนธรรมอาหารของฟากอิตาลีมาผสมผสานร่วมด้วย ยิ่งทำให้อาหารดูน่าสนใจมากขึ้น คุณแก้วจะพยายามใช้วัตถุดิบหลักต่อ 1 จานไม่เกิน 5 ชนิด ภายในจานจะใช้สีจากวัตถุดิบไม่เกิน 3 สี เพราะคำถึงนึงการลิ้มรสให้เข้าถึงรสชาติของวัตถุดิบหลักมากที่สุด

และทุกครั้งที่ทีมงานซูมซอกแซกไปรีวิวคุณแก้วก็จะจัดเต็มมาให้ชิมทุกครั้ง ซึ่งก็จะประทับใจทุกครั้งเช่นกัน เมนูเด็ดล่าสุดที่อยากให้ไปชิมกัน ขอเริ่มจากอาหารเรียกน้ำย่อยสัก 4 เมนู นะคะ

“Kakuni pocket” (145 บาท) แซนวิชไส้หมูตุ๋นคาคุนิ โดยนำหมูตุ๋นผัดซอสมอสซาเรลล่าชีส สอดไส้ในขนมปังเนื้อนุ่ม ที่ทานแล้วขอบอกว่าต้องขอเบิ้ลอีกจาน เสิร์ฟมาโดยห่อกระดาษลายน่ารักๆ ที่คุณแก้วซื้อมาจากประเทศต่างเวลาเดินทางไปเสาะหาวัตถุดิบ

“Potato bikini” (290 บาท) แปลงบิกินีเบอร์เกอร์ของสเปนมาเป็นเมนูนี้ โดยใช้แฮมหมูดำสเปน (อิเบริโก) ปรุงรสกับมันบดเป็นไส้ตรงกลาง แล้วประกบด้วยมันฝรั่งที่สไลด์แบบคัตซึระมูกิเป็นแผ่นบาง จากนั้นนำไปซอยเป็นเส้น แล้วทอดจนเหลืองกรอบ

“Salmon tartare” (375 บาท) ข้าวเกรียบทอดจากข้าวหอมนิล ทานคู่กับทาร์ทาร์แซลมอนสดและไข่ปลาแซลมอน เป็นเมนู signature ที่ทุกคนต้องติดใจ

“Pumpkin salad” (240 บาท) ฟักทองย่างรสหวาน ทานคู่กับร็อคเก็ตป่าคลุกเคล้าน้ำสลัดโชยุหัวหอม เป็นสลัดที่ทานแล้วสดชื่น

ตามด้วยอาหารจานหลักอย่าง

“Spaghetti carbonara” (320 บาท) เมนูใหม่ที่นำสไตล์อิตาลีมาผสมผสานกับญี่ปุ่น ความพิเศษอยู่ที่การนำไข่แดงจากไข่ออนเซนมาจับคู่กับเปกโกริโนชีส คลุกเข้าให้เข้ากันแล้วผัดกับเส้น โรยหน้าด้วยเบคอนกรอบ จานนี้รสเข้มข้นมาก ใครชอบชีสต้องติดใจแน่ๆ ค่ะ

“Spaghetti salmon marinara” (490 บาท) เมนูใหม่ที่ใช้มะเขือเทศอย่างดีมาทำซอสสปาเก็ตตี้เพื่อดึงรสอูมามิออกมา โปะหน้าด้วยแซลมอนทอดชิ้นโต

“Salmon” (790 บาท) จานนี้จะนำแซลมอนไปย่างให้ออกกลิ่นหอม และหนังกรอบ เคียงด้วยผัดกะหล่ำดาวแบบไฟลุกท่วมให้ไหม้นิดๆ เพื่อเพิ่มรสชาติและความหอมของผัก ทานคู่กับครีมซอสโซยุ พาสลี่ออยล์

“Lamb” (790 บาท) ซี่โครงแกะหมักเครื่องเทศย่างกับซอสสไปซี่ ซี่โครงแกะ 2 ชิ้น ที่ปรุงด้วยรสเผ็ดทั้งไทยและเทศ จะต้องหมักไว้ถึง 3 วันแบบสุญญากาศ เพื่อให้รสชาติเข้าเนื้อ เสิร์ฟพร้อมพริกย่าง ทานคู่กับครีมซอสกระเทียม พาสลี่ออยล์ จานนี้เด็ดมาก แนะนำว่าต้องลองค่ะ

“Angus beef” (1,200 บาท) เมนูใหม่ ที่มีพระเอกเป็นเนื้อริบอายวากิวลูกครึ่งอเมริกันญี่ปุ่น 2 ชิ้นหั่นทางขวาง ปรุงรสด้วยเบซิลออยล์ กับเนยคาเฟ่เดอปารีส เสิร์ฟพร้อมกับพริกหยวกสอดไส้เนื้อสับ โดยได้ไอเดียมาจากพริกหยวกสอดไส้ในข้าวแช่

ปิดท้ายด้วย “Snowball” (320 บาท) ของหวานทรงกลมขนาดใหญ่ทำจากครีมชีสที่ต้องใส่ในลูกโป่ง และแช่ในถังไนโตรเจนจนขึ้นรูป จัดวางบนพุดดิ้งโดนัทที่ทำจากแอปเปิ้ลและมะเดื่อฝรั่ง เวลาทานจะราดด้วย Salted caramel ตัวครีมชีสจะเย็นๆ ให้ความรู้สึกคล้ายกับทานไอศกรีมเลยค่ะ

4. Mozza by Cocotte ณ ศูนย์การค้า ดิเอ็มควอเทียร์ ชั้น G

Mozza เป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนน้องใหม่ ที่เพิ่งเปิดเมื่อปลายปีที่ผ่านมา แต่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลาม ถ้าจะมาทานที่ร้านนี้ขอแนะนำว่าให้มาทานพร้อมกันหลายคน จะได้สั่งหลายๆ อย่างแบ่งกันทาน เพราะมีเมนูอร่อยๆ หลายเมนู และแต่ละเมนูจะมีปริมาณค่อนข้างมากค่ะ โดยร้านจะตั้งอยู่ชั้นล่างสุดตรงประตูทางเชื่อมใกล้บริเวณน้ำตก มีโต๊ะให้เลือกทั้งแบบ indoor และ outdoor ค่ะ

ที่ร้านนี้เน้นอาหารสไตล์ Traditional comfort food วัตถุดิบจะนำเข้าจากอิตาลี คิดค้นสูตรและปรุงรสโดยเชฟชาวอิตาเลียน ซึ่ง Mozza กำลังเป็นที่สนใจในโลกออนไลน์โดยเฉพาะกับเมนู “Latteria” พิซซ่าหน้า 8 ชีส ที่รวมชีสหลากชนิดไว้ด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีเมนูเด็ดอีกเพียบให้เลือกสรร ทีมงานลองลิ้มชิมรสมาให้แล้ว ดังนี้

“Burrata – Mango, Bell Pepper & Parma Ham 24 months” (150 กรัม 620 บาท) เป็นชีสสดเนื้อนุ่ม โดยใช้มอสซาเรลล่าชีสหุ้ม Straciatella cream เอาไว้ด้านใน เสิร์ฟพร้อมพาร์ม่าแฮมที่หมัก 24 เดือน ตัวชีสรสเปรี้ยว เมื่อทานคู่กับพาร์ม่าแฮมรสเค็ม พร้อมกันกับรสหวานของเครื่องมะม่วงสุกที่ปรุงรสกับพริกหวาน จะให้ความรู้สึกสดชื่น เวลาทานแนะนำให้ใช้มีดผ่ากลางแล้วควักไส้ครีมมาคลุกกับชีสด้านนอก จะอร่อยยิ่งขึ้นค่ะ

“Truffle Tagliolini” (690 บาท) Tagliolini เส้นสดโฮมเมด เมื่อคลุกเคล้ากับซอสเห็ดทรัฟเฟิล ยิ่งชวนรับประทานมากขึ้น โรยหน้าด้วยเห็ดทรัฟเฟิลสไลด์ด้านบน ทานคู่กันยิ่งอร่อยค่ะ

“Carpi Salerno” (760 บาท) หน้าพิซซ่าเป็นพาร์มาแฮมราดซอสมะเขือเทศ ขนาดพิซซ่า ราว 12 นิ้วเห็นจะได้ ตัดแบ่งเป็น 8 ชิ้น ตัวพิซซ่าเป็นแบบนโปเลตัสโฮมเมดทำสดใหม่ทุกวัน อบออกจากเตาถ่านพิเศษเพียง 3 นาที ก็จะได้แป้งพิซซ่าที่มีทั้งความกรอบ และหนานุ่มบริเวณขอบแป้ง อร่อย 2 แบบในถาดเดียว

“Lasagna Della Nonna” (480 บาท) ลาซานญ่าสไตล์ bolognese ตามแบบสูตรลับเฉพาะของคุณยายเชฟชาวอิตาเลียน จานนี้อร่อยเลิศค่ะ

“Cocotte’s Tiramisu” (290 บาท) ทีรามิสุรสนุ่ม ตักทานพร้อมกันทั้งครีม Mascarpone บิสกิต และเยลลี่กาแฟจะได้รสชาติที่ถูกใจแน่นอนค่ะ

“Green Velvet” (120 บาท) น้ำปั่นผักผลไม้สด ได้แก่ ผักโขม ซัลลารี่ กีวี และมะนาว ช่วยให้มื้ออาหารจบลงอย่างสวยงาม

5. Pierre Herme Paris ณ ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ชั้น G

ร้านมาการองของคุณปิแอร์สาขาแรกเปิดที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ ต่อมาก็ย้ายฐานการผลิตไปที่ปารีส และส่งขายไปยังสาขาต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งร้านที่ ดิ เอ็มควอเทียร์ เป็นสาขาที่ 50 ค่ะ

ทางร้านจะนำเข้ามาการอง ช็อคโกแลต เค้ก และผลิตภัณฑ์อื่นๆ จากปารีสทั้งหมด โดยทางปารีสจะมี product list มาให้แต่ละสาขาเลือก และสั่งสินค้า จากนั้นจะสรุปว่าจะต้องส่งรสชาติใดมาขายในแต่ละล็อตบ้าง เพราะทางปารีสจะเปิดไลน์การผลิตทุก 4 เดือนตามจำนวนและรสชาติที่สั่งเท่านั้น

ความพิเศษของมาการองคือ ทำจาก Almond powder ที่ไม่ค่อยออกรส แต่รสชาติต่างๆ จะมาจากตัวไส้ที่อยู่ตรงกลาง

เฉพาะมาการองที่เป็นรส signature จะมีขายตลอดปี ส่วนรสอื่นจะเวียนมาขายตามฤดูกาล เมื่อซื้อแล้วสามารถเก็บในตู้เย็นได้ 4 วัน

ราคาของมาการองเป็นดังนี้ ชิ้นละ 130 บาท, 7 ชิ้น 980 บาท, 12 ชิ้น 1,580 บาท, 18 ชิ้น 2,350 บาท, 20 ชิ้น 2,550 บาท, 24 ชิ้น 3,100 บาท, 40 ชิ้น 4,800 บาท และกล่องสีแดงพิเศษ 24 ชิ้น 3,900 บาท

มาการอง Signature มี 4 รส ได้แก่

  1. “Infininent Rose” กลิ่นหอมกุหลาบชื่นใจ รสออกหวานแบบกลมกล่อม
  2. “Mogador” รสช็อกโกแลตนม ผสมเสาวรส รสชาติเปรี้ยวนำ อร่อยถูกใจค่ะ
  3. “Infiniment Chocolat Paineiras” รสดาร์กช็อกโกแลตเข้มข้นจากบราซิล สอดไส้ครีมเพียวออริจินัล ไม่ขม แต่อร่อยโดนใจคอช็อกโกแลตแน่นอน
  4. “Infiniment Caramel” รสบัตเตอร์นำ ตอนปลายๆ จะรสออกขมนิดหน่อย เพราะทำจาก salted butter ผสมคาราเมล

อีก 2 รสที่ได้ชิม คือ “Infiniment Citron – Lemon” รสเลมอน ไม่เปรี้ยวจัด กลมกล่อมดี, “Infiniment Jasmine – Jasmin powder & Jasmine tea” หอมกลิ่นมะลิจางๆ รสออกขมเล็กน้อย แปลกดีค่ะ

ในส่วนของช็อกโกแลตจะมี 2 เบสด้วยกัน คือ Milk, Dark มีขายทั้งแบบดั้งเดิม (เก็บได้ 2 เดือน) และแบบสอดไส้ (เก็บได้ 1 เดือน) โดยมากไส้จะจับคู่กับมาการองได้อีกด้วย โดยช็อกโกแลตจะขายยกกล่องเท่านั้น โดยการคละไส้ คละรส ราคาดังนี้ ขนาด 50 กรัม 700 บาท, 120 กรัม 1,150 บาท, 210 กรัม 1,850 บาท และ 350 กรัม 2,850 บาท

จากที่ได้ชิม จะชอบรส Dark chocolate & Lemon และ Mouse chocolate

เค้ก ราคากล่องละ 1,150 บาท มี 2 รสให้เลือก คือ “Praline & Chocolar” เค้กช็อกโกแลตสอดไส้ฮาเซลนัทพราลีน เคลือบด้วยดาร์กช็อกโกแลตผสมถั่วอัลมอนด์อบ และ “Ispahan” ฟรุตเค้กอัลมอนด์ ลิ้นจี่ กุหลาบ ผสมราสเบอร์รี่

ผลิตภัณฑ์อื่น อาทิ Jam duo ช็อกโกแลตร้อน เทียนหอม หนังสือ กระเป๋าเก็บความเย็น กระเป๋าถือ ทั้งนี้ ทางร้านจะแนะนำให้ทานช็อกโกแลตคู่กับคอนยัค และวิสกี้ ส่วนมาการอง ทานคู่กับ sparkling wine จะเข้ากันค่ะ

เอาเป็นว่าในตอนที่ 1 นี้ขอแนะนำ 5 ร้านก่อนนะคะ เพื่อจะได้ไม่เป็นการยากในการตัดสินใจว่าจะไปทานที่ไหนดี ส่วนอีก 5 ร้านที่เหลือไว้มาต่อวันพรุ่งนี้นะคะ

นอกจากร้านอาหารอร่อยๆ แล้วทางศูนย์การค้าดิ เอ็มโพเรี่ยม และ ดิ เอ็มควอเทียร์ ยังจัดโปรโมชั่นพิเศษๆ ไว้ต้อนรับเหล่านักชิมทั้งหลาย โดยลุ้นรับ Dining Voucher มูลค่าสูงสุด 500 บาท และมีโปรโมชั่นโดนๆ มากมาย เพื่อเอาใจนักชิม อาทิเช่น

  • ขั้นแรก เมื่ออิ่มอร่อยในร้านอาหารที่ร่วมรายการ 1,200 บาท รับส่วนลดทันที 100 บาท
  • ขั้นพิเศษ เมื่อชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ รับทันที Dining Vouche อีก 100 บาท
  • ขั้นพิเศษกว่า สำหรับสมาชิกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ รับส่วนลดเพิ่มอีก 300 บาท เมื่อใช้คะแนน 1,200 คะแนน
  • ขั้นพิเศษสุด ลุ้นทานฟรีกับ Lucky Troop ทุก เสาร์ – อาทิตย์ ตลอดเดือนมิถุนายน พร้อมลุ้น Voucher รับประทานอาหารสูงสุด 3,000 บาท

อย่ารอช้ารีบมาชิมอาหารอร่อยๆ พร้อมลุ้นรับส่วนลดกันตั้งแต่วันนี้ถึง วันที่ 20 กรกฎาคม นี้นะคะ

อุ้ม แคลลอรี่ ลั้น ลา