คำขวัญวันเด็กแห่งชาติ หนึ่งในภารกิจนายกฯ ไทย

เมื่อ 2 วันก่อนผมนั่งดูข่าวทีวี เห็นเด็กๆ จำนวนหนึ่งเดินทางไปพบนายกรัฐมนตรี เพื่อรับฟังโอวาท และรับมอบโล่รางวัล เนื่องในวันเด็กแห่งชาติปี 2561 ก็เลยนึกขึ้นมาได้ว่าวันเด็กแห่งชาติกำลังจะเวียนมาถึงอีกแล้ว

วันมะรืนนี้หรือวันเสาร์ที่ 13 มกราคม นี่แหละครับ จะเป็นวันของเด็กๆ ทั่วประเทศไทย

ผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ช่องที่ผมดูอยู่รายงานว่าเด็กๆ รวม 785 คน ที่เข้าพบนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันจันทร์ล้วนเป็นเด็กและเยาวชนดีเด่นที่นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศชาติในด้านต่างๆ ทั้งสิ้น

ซึ่งท่านนายกฯ ก็ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ให้ทั้งโอวาท ทั้งโล่ ใช้เวลาอยู่กับเด็กๆ นานพอสมควรทีเดียว

ในระหว่างให้โอวาทท่านนายกฯได้พูดถึงคำขวัญวันเด็กปีนี้ที่มีใจความว่า “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” ให้เด็กๆรับฟังไปด้วย

ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนั้น นอกจากจะต้องทำหน้าที่ในการบริหารประเทศชาติในทุกๆด้านแล้วยังจะต้องทำหน้าที่คิดคำขวัญให้แก่เด็กๆ ปีละ 1 ครั้ง

ถือเป็นประเพณีมาตั้งแต่นายกรัฐมนตรี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ผู้ริเริ่มให้มีวันเด็กแห่งชาติเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี 2498 หรือเมื่อ 62 ปีที่แล้ว

คำขวัญชิ้นแรกสำหรับเด็กไทยจากจอมพล ป.มีข้อความดังนี้ครับ “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม”

ปรากฏว่าจอมพล ป.พิบูลสงคราม ท่านวาสนาน้อย แต่งคำขวัญวันเด็กได้แค่คำขวัญเดียว ก็ถูก จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติในปี 2500 ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ

ช่วง 2500-2501 ไม่มีคำขวัญวันเด็ก อาจเป็นเพราะเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านนายกรัฐมนตรี 2 ท่าน มาขัดตาทัพคนละไม่กี่เดือนเท่านั้น

หลังจากนั้นจอมพลสฤษดิ์ ก็เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว ตั้งแต่ พ.ศ.2502 ถึง 2506 และได้มอบคำขวัญให้แก่เด็กไทยถึง 5 คำขวัญ

ทุกคำขวัญของท่านจะเริ่มด้วยวลีที่ว่า “ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า…จง” แล้วก็ตามมาด้วยสิ่งที่ท่านอยากให้เด็กๆไทยนำไปปฏิบัติ เช่น “จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า” “จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย” และ “จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรที่สุด” เป็นต้น

ถัดจาก จอมพลสฤษดิ์ ก็ถึงคิว จอมพลถนอม กิตติขจร ซึ่งกลายเป็นนายกฯ ที่แต่งคำขวัญวันเด็กมากที่สุด เพราะอยู่ถึง 9 ปี จึงมีคำขวัญถึง 9 คำขวัญ

จอมพลถนอมท่านยึดมั่นในความดีงาม ดังนั้นทุกคำขวัญของท่าน ไม่ว่าจะเป็นคำขวัญสำหรับผู้ใหญ่ หรือเด็กๆ จึงเต็มไปด้วยคำว่า “ทำดี” “คนดี” “ประพฤติดี” และมีคำว่า “ดี” อยู่ในคำขวัญทั้ง 9 โดยไม่ขาดแม้แต่ปีเดียว

รวมทั้งคำขวัญที่ว่า “เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ” ที่ท่านมอบให้แก่เด็กไทยในปี 2516 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของท่าน

หลังจากนั้นมาประเทศไทยเราเปลี่ยนนายกฯเร็วอยู่กันคนละปี 2 ปี เป็นอย่างมาก คำขวัญวันเด็กจากนายกฯ ในช่วงหลัง 14 ตุลาคม 2516 จึงมีท่านละ 1 คำขวัญ เป็นส่วนใหญ่ เยอะหน่อยก็นายกรัฐมนตรี พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ซึ่งมีทั้งสิ้น 3 คำขวัญ

ค่อยมาเยอะอีกทีในยุค “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่อยู่ถึง 8 ปี จึงมี 6 คำขวัญ โดย 3 ปีหลังสุดท่านใช้คำขวัญเดียวกัน “นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม” เหตุเพราะ ช่วงนั้นต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจเรื่องขาดดุลการค้า ท่านจึงขอร้องให้คนไทยทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็ก หันมานิยมไทยและประหยัด โดยทั่วหน้า

ถัดจากยุคป๋าเปรมมาก็มีคนละ 2-3 คำขวัญ เพราะมักอยู่ไม่นานจนมาถึง ดร.ทักษิณ ชินวัตร ค่อยนานหน่อยมีถึง 5 คำขวัญ, นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ 3 คำขวัญ และ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ 3 คำขวัญ

สำหรับ นายกฯพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เผลอแผลบเดียว 4 คำขวัญ แล้วนะครับเนี่ย

สรุปว่า ตลอดเวลากว่า 60 ปีที่เรามีวันเด็กและมีคำขวัญวันเด็กกันมานั้นจะเห็นว่าทุกคำขวัญล้วนเป็นเรื่องดีๆ ทั้งนั้น

ถ้าเด็กไทยเชื่อนายกรัฐมนตรีไทยสักครึ่งเดียวไทยแลนด์ของเราคงไปโลดกว่านี้อีกหลายๆเท่าแล้วล่ะ.

“ซูม”