จากใจ “คนเสียภาษี” ในวัน “รัฐบาล” แจกเงิน
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้แบบพออยู่พอกิน และค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งของประเทศนี้
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือน มีรายได้แบบพออยู่พอกิน และค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองเป็นพลเมืองดีคนหนึ่งของประเทศนี้
มาอีกรายแล้วครับ รายใหญ่เบอร์ใหญ่เสียด้วย เพราะเป็นถึงนักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารโลกที่ออกมาแถลงว่าโครงการแจกเงิน 10,000 บาทของรัฐบาลส่งผลให้อัตราความยากจน (ของประเทศไทย) ลดลงตามที่มีรายงานข่าวในสำนักข่าวออนไลน์หลายฉบับเมื่อ 2 วันก่อน
ผมขอทำหน้าที่ร่วมบันทึกถึงเหตุการณ์สำคัญอีกเหตุการณ์หนึ่งของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในปลายเดือนกันยายน 2567 เป็นต้นมา และเป็นข่าวหัวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
เป็นที่ทราบกันตั้งแต่วันพุธที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมาแล้วว่าสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติรับหลักการในวาระแรก สำหรับร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม ประจำปีงบประมาณ 2567 จำนวนเงิน 1.22 แสนล้านบาทเป็นที่เรียบร้อย
เมื่อเร็วๆ นี้เอง…ประสาคนแก่ขี้เหงานั่งเขียนหนังสืออยู่คนเดียวที่บ้าน พอเขียนเสร็จส่งต้นฉบับเข้าโรงพิมพ์เรียบร้อย…
ผมดูปฏิทินแล้วก็พบว่าข้อเขียนชิ้นนี้ของผมจะลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันพุธที่ 19 มิถุนายน ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของคนไทยที่ติดตามข่าวการเมืองที่เข้มข้นเหลือเกินในช่วงนี้
ทุกๆ ปีในขบวน “แห่เจ้าพ่อเจ้าแม่” ในเทศกาลตรุษจีนของชาวปากน้ำโพ หรือนครสวรรค์บ้านผม นอกจากขบวน “มังกรทอง” และ “สิงโต” อันลือชื่อแล้วยังมีอีกขบวนหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากพอๆ กัน…เรียกว่าขบวน “เอ็งกอพะบู๊”
ผมเขียนถึงข่าวดีๆ ของประเทศไทยติดต่อกันมาหลายวัน แม้จะเป็นเพียงข่าวเล็กๆ แต่ก็ถือว่ามีความหมายอ่านแล้ว “ใจฟู” มีความสุขใจและมีกำลังใจที่จะเดินหน้าทำงานกันต่อไป
ณ นาทีนี้ ผมยังยืนยันด้วยความเชื่อมั่นทั้งในตัวเลขที่สภาพัฒน์แถลงเมื่อวานนี้ และด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่พอ จะติดตามข้อมูลอยู่บ้างว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ
ประวัติศาสตร์เศรษฐกิจว่าด้วยการทำงานหนักของรัฐบาล+ภาคเอกชนสามารถเอาชนะสงครามเศรษฐกิจได้ ที่เกิดขึ้นในยุค “ป๋าเปรม” เมื่อ พ.ศ.2527 ที่ผมเล่าเป็นมินิซีรีส์เมื่อวานนี้จบลงด้วยการลดค่าเงินบาทและการแต่งตั้งคณะ “กรรมการ” ขึ้นมาใช้ประโยชน์จากการลดค่าเงินบาทให้เห็นผลโดยเร็วที่สุด