ยังเชื่อ “เศรษฐกิจ” ไม่วิกฤติ + น่าห่วงกว่าคือ “การเมือง”

ณ นาทีนี้ ผมยังยืนยันด้วยความเชื่อมั่นทั้งในตัวเลขที่สภาพัฒน์แถลงเมื่อวานนี้ และด้วยประสบการณ์ส่วนตัวของผมที่พอ จะติดตามข้อมูลอยู่บ้างว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่วิกฤติ

แม้จีดีพีจะเพิ่มตํ่ามาหลายปี และบางปีก็ติดลบ แต่ก็มีเหตุผลอธิบายได้…หรือล่าสุดที่สภาพัฒน์แถลงว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาสสุดท้ายปีที่แล้วตํ่ากว่าที่คาดมาก ทำให้ต้องปรับลดจีดีพีรวมของปีที่แล้วลงไป

ผมก็ไม่ถือว่าเป็นวิกฤติ แต่ก็ไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นปัญหาเป็นอุปสรรคที่เราจะต้องหาทางแก้ไขหรือหาทางเพิ่มให้สูงขึ้น

แต่ผมก็ไม่ว่ากระไร หากใครสักคนหรือหลายๆ คนจะบอกว่ามัน วิกฤติแล้ว…แบบนี้แย่แล้ว…จะต้องแก้วิกฤติโดยด่วน

จากนั้นก็จัดทำโครงการแก้วิกฤติ (ในทัศนะของพวกเขา) อย่างมีเหตุมีผล…จะสร้างโน่นสร้างนี่ตามตำราที่ลอร์ด เดนส์ เคยสอนไว้ ซึ่ง ผมเห็นด้วย และแม้จะรู้สึกว่าหนี้สาธารณะของเราจะเยอะไปหน่อยแล้ว แต่เมื่อยังไม่เต็มเกจ์จะกู้มาทำโครงการที่ว่านี้ผมก็จะยอมด้วยความยินดี

ที่ผมค้านอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะไม่อยากให้ใครมาอ้างว่าวิกฤติ ฉะนั้นจะต้อง “แจกเงินแก้วิกฤติ” เท่านั้นเองละครับ

ลำพัง “แจก” อย่างเดียวก็เป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่แล้ว นี่ยังจะ “กู้” มาแจกอีก…ใครจะบอกว่ายุคนี้ที่ไหนๆ เขาก็ทำกัน…แต่ผมยังหัวโบราณมองว่าก็ช่างที่ไหนเขาปะไร…แต่สำหรับเมืองไทยอย่าทำถึงขนาดนั้นเลยครับ

การแจกเงินเป็นยาพิษอย่างหนึ่ง จะทำให้คนรับแจกรู้สึกว่าเงินได้มาง่ายๆ ไม่ต้องออกแรงอะไรก็ได้แล้ว…อีกหน่อยก็จะรอแจกสถานเดียว นักสังคมวิทยาเขาจึงสอนกันว่า ไม่จำเป็นอย่าแจกเงิน

ผมเห็นด้วยกับนักสังคมวิทยาในข้อนี้ เพราะเห็นมามากแล้ว ประเทศที่รัฐบาลเอาแต่แจกและประชาชนก็เอาแต่รับเงิน…ในที่สุดประเทศนั้นก็ไปไม่รอด แย่ทั้งรัฐบาล แย่ทั้งประชาชน

นอกจากการแจกเงินจะเป็นยาพิษเช่นว่าแล้ว…คุณมั่นใจได้อย่างไรว่าเมื่อแจกแล้วเงินจะหมุนๆ ไปไม่รู้กี่รอบ อย่างที่คุณๆ ฝันไว้

ในระบบเศรษฐกิจแบบไทยๆ ซึ่งยังไม่มีความเป็นสากลสักเท่าไหร่นัก ทั้งในระดับการค้าขายและกลไกเศรษฐกิจต่างๆ เพราะเต็มไปด้วยการผูกขาด ตัดตอน อิทธิพลท้องถิ่น ธุรกิจสีเทา ฯลฯ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะ “ท่อตัน” ขึ้นได้เป็นจุดๆ

แจกไปอาจจะแป๊กตั้งแต่ท่อแรกแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้?

การทดลองแจกเงินก้อนใหญ่หลวงเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน นี่จะเป็นการเสี่ยงครั้งแรก เงิน “5 แสนล้าน” อาจจะหมุนติ้วเหมือนระเบิดลงแล้วแผ่ออกไปเป็นทอดๆ…หรือเป็น “ระเบิดด้าน” ทุ่มลงไปแล้วแป๊ก ระเบิดป๊อกแป๊ก 2-3 ทีก็หยุด…อาจออกได้ทั้ง 2 ทาง

เราจะเอาเงิน 5 แสนล้านจากหยาดเหงื่อเงินกู้ของคนทั้งชาติไปทดลองอย่างนั้นหรือครับ

สรุปเอาเป็นว่า อย่ามาต่อล้อต่อเถียงเรื่องวิกฤติหรือไม่วิกฤติกันเลยครับ เพราะเราพูดกันมามาก และต่างคนต่างก็มีเหตุผลมีความเชื่อของตนเอง เพราะฉะนั้นหากคุณจะใช้คำว่าวิกฤติก็ใช้ของคุณไป

ขณะเดียวกัน หากคุณจะลงมือแก้ปัญหาในสิ่งที่คุณคิดว่าวิกฤติก็กรุณาลงมือเลย เหมือนอย่างที่พวกคุณคิดอ่านจะทำโน่นทำนี่อยู่ทุกวันนี้ ซึ่งผมคิดว่าหลายๆ เรื่องหลายนโยบายมีเหตุมีผลสมควรแก่การสนับสนุน และผมก็ชื่นชมมาก เช่น นโยบายด้าน ซอฟต์พาวเวอร์ เป็นต้น

ผมขอไว้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น อย่าแก้ปัญหาที่คุณคิดว่าวิกฤติโดยการ “กู้มาแจก” เท่านั้นเองละครับ

ผมใช้คำว่า “คุณ” บ้าง “ท่าน” บ้าง ก็เพราะผมเห็นว่านโยบายนี้เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทย และผู้ที่ออกมานำเสนอและกล่าวยืนยันว่าจะเดินหน้า ก็ล้วนแต่เป็นนักการเมืองของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น

เมื่อพูดถึงพรรคเพื่อไทยแล้วก็ต้องกลับไปพูดเรื่อง “วิกฤติ” กันอีกหน…แต่ไม่ใช่วิกฤติเศรษฐกิจนะครับ เพราะเราเลิกเถียงกันแล้ว…ผมหมายถึง “วิกฤติการเมือง” ต่างหากล่ะ

ช่วงนี้มีเสียงพูดด้วยความห่วงใยว่า “วิกฤติการเมือง” น่าห่วงกว่า “เศรษฐกิจ”…ในฐานะที่พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล …ผมก็ขอฝากให้ช่วยดูแล อย่าให้เกิด “วิกฤติการเมือง” ขึ้นมาใน ช่วงนี้ก็แล้วกันนะครับ…ประเดี๋ยวจะเกิดวิกฤติ “เศรษฐกิจ” ขึ้นมาจริงๆ!

“ซูม”