ผมได้รับจดหมายข่าวว่าด้วย “ภาวะสังคมไทยรายไตรมาส” ฉบับไตรมาส 3 ของสภาพัฒน์มาตั้งแต่กลางเดือนที่แล้ว เป็นกระดาษแค่ 2 แผ่น…แผ่นแรกเป็นจดหมายนำส่งเอกสารจากสำนักงานและแผ่นสองสำเนาภาพถ่ายหน้า 1 ของเอกสารชุดนี้
มีรายงานเมื่อเร็วๆ นี้เองว่า ในการสัมมนาระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยที่ซวดเซอย่างหนัก จากการระบาดของไวรัสโควิด–19 ในครั้งนี้นั้น
มีข่าวที่ผมได้ยิน ได้ฟังและได้อ่านรายละเอียดแล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมาแว่บหนึ่ง แต่ก็แว่บเดียวเท่านั้นเองครับ เพราะหลังจากนั้นความดีใจก็ค่อยๆ คลายลง กลายเป็นความห่วงใยกลับมาเหมือนเดิม เมื่ออ่านมาถึงท่อนจบ ข่าวที่ “สภาพัฒน์” หรือ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ รายงานสถานการณ์ความยากจนของประเทศไทย ในปี 2562 ว่าปรับตัวไปในทางที่ดีขึ้นนั่นแหละครับ
ผมต้องขออนุญาตท่านผู้อ่าน เขียนถึงเงินกู้ 4 แสนล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ผมเขียนถึงเมื่อฉบับวันพุธที่ผ่านมาอีกสักครั้ง
ท่านผู้อ่านที่ติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการพัฒนาประเทศไทยของเรามาโดยตลอด คงจะจำได้ว่าในแต่ละปีจะมีการประชุมทางวิชาการ เพื่อนำความคิดความเห็น ตลอดจนบทสรุปต่างๆ มาใช้ในการวางแผนพัฒนาประเทศ จัดโดยสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์
เมื่อวานนี้เอง นักพยากรณ์เศรษฐกิจ หรือหมอดูเศรษฐกิจทุกสำนักต่างเห็นพ้องต้องกันว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยเราในไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง
ผมได้รับเอกสารของสภาพัฒน์ว่าด้วย “ภาวะสังคมไทยไตรมาสหนึ่งปี 2561” มาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีเวลาเปิดอ่านเสียที จนกระทั่งเมื่อวานนี้ เพิ่งจะมีโอกาสหยิบมาพลิกดูอย่างคร่าวๆ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงว่า อัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ (2561) สูงถึงร้อยละ 4.8
ผมนั่งเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงเวลาบ่ายๆของวันอังคารที่ 17 เมษายน วันกลับมาทำงานวันแรกหลังหยุดยาวฉลองสงกรานต์
มีข่าวที่ผมติดค้างเอาไว้ตั้งแต่ก่อนสงกรานต์อยู่ข่าวหนึ่ง ที่ผมบอกว่า ไม่อยากจะหยิบมาเขียนถึงในช่วงเวลาที่คนไทยเรากำลังมีความสุขและสนุกสนานกับเทศกาลปีใหม่ไทย