เมืองไทยหลังแฟลชม็อบ จากนี้ไปอะไรจะเกิดขึ้น?

ผมขออนุญาตหยิบข่าวหน้า 1 มาเขียนต่อนะครับ หลังจากที่เมื่อวานมีข่าวดีถึง 2 ข่าว เกี่ยวกับการผ่อนคลายของสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และข่าว “นวดไทย” ได้รับการยอมรับจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้…อ่านแล้วก็รู้สึกปลื้มปริ่มทั้ง 2 ข่าว ไปตลอดทั้งวัน

วันนี้ตรงกันข้ามเลย…ผมเขียนต้นฉบับเย็นๆ วันอาทิตย์ นั่งอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ที่วางบนโต๊ะแล้วก็ใจหาย ข่าว “แฟลชม็อบ” ของ คุณ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ยึดหัวยักษ์ของทุกฉบับ พร้อมภาพผู้คนที่ไปร่วมม็อบที่สกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน

ถามว่ามากไหม? ก็คงไม่มากนัก? ถามว่าน้อยไหม? ก็คงตอบไม่ได้ว่าน้อย…เอาเป็นว่าไม่ถึงกับมากแต่ก็ไม่ถือว่าน้อย…หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับใช้คำว่า “เรือนพัน” หรือ “นับพัน”

ซึ่งก็มากพอที่จะทำให้เสียงตะโกนดังกระหึ่ม เมื่อไปชุมนุมกันอยู่ในที่ซึ่งไม่กว้างนัก อย่างบริเวณสกายวอล์ก สี่แยกปทุมวัน

หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่กล่าวตอนหนึ่งว่า ครั้งนี้เป็นแค่ “ซ้อมใหญ่” เท่านั้น แต่ครั้งหน้าจะ “ลงถนน” แน่นอน

ขณะเดียวกัน ข้อความที่เพจอนาคตใหม่โพสต์หลังจากสลายตัวแล้วก็มีข้อความระบุไว้ตอนหนึ่งว่า

หนังม้วนเก่ากำลังฉายซํ้า “แต่ตอนจบจะไม่เหมือนเดิม วันนี้คือการชิมลาง” พร้อมกับติดแฮชแท็กไว้ว่า #กลัวที่ไหน #ไม่ถอยไม่ทน

แปลความตามโพสต์ได้ว่า หนังเรื่องนี้ไม่จบแน่นอน และคงจะยืดเยื้อไปอีกนานแสนนาน…จะไม่ทำให้ผมรู้สึกใจหายและอุทานกับตัวเองด้วยความรักและห่วงใยประเทศไทยของเราได้อย่างไร?

ทุกครั้งเมื่อจุดชนวนจนเกิดม็อบได้สำเร็จจากฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลก็จะต้องมีการปราบม็อบโดยรัฐบาล เป็นสูตรสำเร็จที่เกิดขึ้นในโลกนี้

บ้านเราก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีการก่อม็อบ รัฐบาลก็จะต้องปราบ มีทั้งใช้วิธีเบา วิธีหนัก และก็มีทั้งแพ้และชนะในอดีตที่ผ่านมามีทั้งบาดเจ็บ มีทั้งล้มตาย มากบ้างน้อยบ้างอยู่เสมอ

แต่ที่แน่ๆ ก็คือเศรษฐกิจของชาติหยุดชะงัก การลงทุนถดถอย เพราะความเชื่อมั่นเหือดหาย ต้องใช้เวลาเยียวยาและตั้งหลักพอสมควรกว่าจะเริ่มต้นใหม่ขึ้นมาได้อีก

นี่เราจะมีม็อบกันอีกแล้วหรือ? วันนี้มาแบบแวบๆ เหมือนถ่ายรูปใช้ “แฟลช” คราวหน้าจะมาแบบไหน? เจิดจ้าสว่างโร่ยาวนานหลายวัน หลายคืน หลายเดือนแบบฉายไฟ “สปอตไลต์” เลยหรือไม่?

จากประสบการณ์ที่นั่งดูม็อบอยู่ตรงนี้มานานพอสมควร พอจะประมวลได้ว่าสาเหตุการก่อหวอดและการขยายตัวของม็อบมักขึ้นอยู่กับเงื่อนไขดังต่อไปนี้

เริ่มจากความคิดทางการเมือง ความเป็นขวา ความเป็นซ้าย, ความเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจ, ความเบื่อในรัฐบาล, ความไม่พอใจที่รัฐบาลใช้อำนาจมากเกินไป ฯลฯ

รัฐบาลไหนเจอครบทุกปัจจัยก็มักจะทำให้ม็อบบานปลาย และขยายตัวจนต้องมีการปราบปราม และก็ปราบสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง นำไปสู่เหตุการณ์บานปลายจนต้องพึ่งพระมหากรุณาธิคุณของพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนบ้าง ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

เหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม 2562 ที่สกายวอล์ก ปทุมวัน ถือเป็นจุดเริ่มต้น แต่จะนำไปสู่การขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่คงต้องตามกันต่อไป

ใจหนึ่งก็คิดว่า เงื่อนไขไม่น่าจะพอที่จะทำให้ม็อบก่อตัวใหญ่หรือบานปลายขึ้นได้ แต่อีกใจก็ห่วง เพราะในปัจจัยทั้งหมดนั้น “ความเบื่อ” เป็นปัจจัยที่มีคะแนนสูงมาก

กับอีกปัจจัยที่เป็นของใหม่เอี่ยม คือปัจจัยเรื่องอายุ หรือเรื่องเจเนอเรชัน ที่เรียกสั้นๆ ว่า “เจน” ของคนไทยที่เข้ามามีผลกระทบต่อการเมืองอย่างสำคัญมาก

พรรคอนาคตใหม่ได้รับความนิยมจากคน เจนวาย (Gen Y) (เกิดระหว่าง 2523-2540) ไปเกือบครึ่งหนึ่ง และได้จากคนใน เจนแซด (Gen Z) เกิดตั้งแต่ปี 2541 เป็นต้นมา มีอายุเข้าเกณฑ์เลือกตั้ง คือ 18 ปีขึ้นไปอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นกลุ่มพลังหลักของประเทศในปัจจุบันนี้

ดูก่อนก็แล้วกันว่า ตอน “วิ่งไล่ลุง” เดือนมกราคมจะมีคนกลุ่มนี้ออกมาวิ่งมากน้อยเพียงใด?

ถ้าไม่มากก็โล่งอก แต่ถ้ามากก็คงต้องถอนหายใจด้วยความเป็นห่วงประเทศไทยล่ะครับ…ชตพ.

“ซูม”