ชื่นชม “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” พระเอกทั้งในจอนอกจอ

วันนี้ผมขอเกาะกระแสข่าวหน้า 1 เขียนถึงบุคคลที่เป็นข่าวดังที่สุดของหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ สักวันนะครับ

พระเอก บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ยังไงล่ะครับ ต้องบอกว่า ณ นาทีนี้ดังยิ่งกว่าพลุแตกหลายเท่า

สืบเนื่องมาจากพระเอกอาสาสมัครของมูลนิธิร่วมกตัญญูรายนี้ ยอมควักเงิน 1 ล้านบาทของตนเอง เพื่อแจกให้แก่พี่น้องชาวอุบลราชธานีที่ประสบปัญหาน้ำท่วมเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเมื่อ 2-3 วันก่อน

ปรากฏว่าประชาชนชาวไทยทั้งประเทศต่างซาบซึ้งในความตั้งใจของคุณบิณฑ์ ส่งเงินไปร่วมสมทบเพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวอุบลฯ กันยกใหญ่ จนยอดล่าสุดขณะผมเขียนต้นฉบับทะลุ 286 ล้านบาทไปแล้ว และยังไม่ทราบว่าจะไปหยุด ณ กี่ร้อยล้านบาทกันแน่

ซึ่งคุณบิณฑ์แกก็ประกาศว่าจะเพิ่มการแจกเงินแก่ผู้ประสบเคราะห์ให้เป็นครอบครัวละ 5,000 และแจกต่อไปเรื่อยๆ ขอให้เชื่อมั่นในความโปร่งใสและบริสุทธิ์ใจของแก

แจกไม่หมดคุณบิณฑ์ตั้งใจจะเก็บไว้เพื่อเป็นกองทุนช่วยเหลือหลังน้ำท่วม ซึ่งชาวบ้านยังต้องการอีกมาก โดยเฉพาะข้าวของเครื่องใช้ เครื่องมือทำมาหากินต่างๆ

คุณบิณฑ์ย้ำด้วยว่า ที่ริเริ่มแจกเงินขึ้นครั้งนี้เพราะสงสารชาวบ้านจริงๆ และอยากช่วยเหลือจริงๆ ไม่ได้คิดจะทำแข่งกับรัฐบาล ไม่คิดจะตัดหน้านายกรัฐมนตรีแต่อย่างใด

ผมเชื่อครับว่า คุณบิณฑ์ไม่คิดจะทำอะไรแข่งกับรัฐบาล ซึ่งได้ประกาศรับบริจาคเหมือนกัน มีการจัดรายการด้วย ซึ่งผมต้องส่งต้นฉบับล่วงหน้า ไม่ทราบว่าจะมีผู้บริจาคมากน้อยเพียงใด

ก็ขอให้มียอดบริจาคมากกว่าของคุณบิณฑ์นะครับ เพราะถ้ารัฐบาลน้อยกว่าละก็มีหวังตกเป็นเป้าโดนฝ่ายที่ไม่ชอบรัฐบาลเอาไปเหน็บแนมค่อนแคะได้อีกหลายวัน

เท่าที่ผมติดตามพระเอกบิณฑ์มานาน จำได้ว่าเคยเล่นการเมืองอยู่เหมือนกัน ลงสมัครเลือกตั้งในนามพรรคนำไทย เมื่อ พ.ศ.2538 แต่สอบตกก็เลยตัดสินใจเลิกเล่นเด็ดขาด

ประมาณ พ.ศ.2552 มีข่าวว่าเข้าเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยและจะลงเลือกตั้งด้วย แต่เจ้าตัวออกมาปฏิเสธ บอกว่าได้รับการทาบทามจริง แต่ไม่คิดจะเล่นการเมืองอีก เพราะแค่งานแสดงและงานกุศลของ มูลนิธิร่วมกตัญญู ที่เขาเป็นผู้จัดการฝ่ายกิจกรรมพิเศษอยู่ก็ล้นมือเต็มทีแล้ว

ต่อมาปี 2554 บิณฑ์ไปลงทุนสร้างหนัง กำกับการแสดงเอง บริหารจัดการต่างๆ เอง เรื่อง “ปัญญา เรณู” สะท้อนชีวิต เด็กอีสาน ที่มีความฝันจะโด่งดังทางร้องเพลง ยกกองไปถ่ายที่อีสานทั้งเรื่อง

ยังจำได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง “ปัญญา เรณู” แม้จะน่ารักดูสนุกแต่ไม่ทำเงิน คุณบิณฑ์จึงมารอพบผมที่โรงพิมพ์และขอให้ช่วยเขียนวิจารณ์ให้

ผมบอกว่าผมต้องไปดูก่อน ถ้าถูกใจถึงจะเขียน

แล้วผมก็จ่ายเงินเองไปดูรอบดึกที่ เดอะมอลล์ บางกะปิ ข้างบ้าน ดูแล้วชอบใจก็เลยเขียนเชียร์ให้เต็มคอลัมน์ 2 วัน หนังพลิกกลับมาทำเงินได้ถึง 12.82 ล้านบาท (ตามข่าวในช่วงนั้น)

บิณฑ์หิ้วกระเช้ามาให้ผม 1 กระเช้าตอนปีใหม่ ซึ่งผมก็บอกไปว่าไม่ต้องหรอก เพราะผมเขียนให้เขาเนื่องจากผมชอบหนังที่เกี่ยวกับอีสานอยู่แล้วและแม้จะเป็นคนปากน้ำโพ แต่ผมก็เหมือนบิณฑ์ที่เป็นคนสระแก้ว แต่ชอบอีสาน ดูหนังแล้วถูกใจก็เขียนให้เท่านั้นเอง

เท่าที่บิณฑ์แวะมาคุยด้วยในช่วงนั้น ผมซึ่งผ่านโลกผ่านชีวิตมาพอสมควร พอจะจับเค้าดูอุปนิสัยผู้คนจากการพูดจาได้บ้าง…รู้สึกว่าบิณฑ์เป็นคนจริงจังจริงใจ จึงได้ตัดสินใจเขียนให้ด้วยความยินดี

ผมยังเชื่อความจริงจังจริงใจของบิณฑ์มาจนถึงวันนี้ และคิดว่าที่เขาทำเพื่อชาวอุบลฯ ครั้งนี้เป็นการกระทำที่จริงจังจริงใจและบริสุทธิ์ใจ เพื่อช่วยเหลือพี่น้องที่ตกทุกข์ได้ยากโดยแท้จริง

แต่ระวังเรื่องเงินเรื่องทองหน่อย ดูแลให้ดี ให้โปร่งใสที่สุดเท่าที่จะโปร่งได้ อย่าให้เสียชื่อ เสียประวัติเพราะงานนี้เป็นอันขาด

จำได้ไหมน้อง ตอนที่สร้างหนังเหนื่อยแทบตาย และหนังก็ดี๊ดี ดูสนุกน่ารักมาก ยังทำเงินได้แค่ 12.8 ล้านบาทเท่านั้นเอง

นี่พริบตาเดียวได้ไปกว่า 286 ล้านบาทแล้ว…แถมยังไหลไม่หยุด

โบราณเตือนว่า อย่าเล่นกับไฟฉันใด ยุคใหม่เขาก็เตือนกันว่า อย่าเล่นกับเงินฉันนั้นละน้อง…ดูแลให้ดีๆ ด้วยเด้อบิณฑ์!

“ซูม”