อย่าห่วง “เศรษฐกิจ” วิกฤติ นาทีนี้ควรห่วง “การเมือง”

เมื่อเช้าตรู่วันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 มีเหตุการณ์สำคัญยิ่งทางการเมืองเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นข่าวใหญ่ในสื่อมวลชนทุกแขนง

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ซึ่งอยู่ประมาณ 6 นาฬิกาเศษๆ ผมยังอยู่ที่เชียงราย แต่ก็เตรียมตัวพร้อมแล้วที่จะไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินแม่ฟ้าหลวงในเวลาประมาณ 09.00 น.

จึงหิ้วกระเป๋าลงมาฝากไว้ที่เคาน์เตอร์ก่อนออกไปเดินที่สนามหญ้าหน้าโรงแรมเพื่อออกกำลังเล็กๆ น้อยๆ และสูดอากาศเย็นฉ่ำ 14 องศาเซลเซียส ตามที่โทรศัพท์มือถือแจ้งไว้

เวลาเดียวกับที่ผมเดินทอดน่องสูดความเย็นฉ่ำอยู่นั้นเอง ผมมาทราบภายหลังระหว่างนั่งรอเครื่องบินที่สนามบินแล้วก็เปิดดูข่าวของสำนักข่าวต่างๆ ทำให้ทราบว่า

อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ไปรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจระหว่างคุมขังและครบ 180 วัน เข้าเกณฑ์ได้รับการพักโทษของกรมราชทัณฑ์ ได้ออกเดินทางจากโรงพยาบาลตำรวจไปถึงหน้าประตูบ้านจันทร์ส่องหล้า เวลา 06.33 น. พอดีเป๊ะ

ท่ามกลางกองทัพผู้สื่อข่าวจากสื่อทุกสำนักแน่นขนัดนับร้อยคน

อย่างที่ผมเคยเขียนอยู่เสมอว่า อดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้มีทั้งคนรักเท่าผืนหนังและคนชังเท่าผืนเสื่อ ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะมีทั้งคนเห็นด้วยและตำหนิติติง

ฝ่าย “ผืนหนัง” (รัก) ก็จะแสดงความดีใจที่ท่านจะได้กลับ บ้านจันทร์ส่องหล้า หลังระเหเร่ร่อนไป 17-18 ปี…ในขณะที่ฝ่าย “ผืนเสื่อ” (ชัง) ก็จะตั้งคำถามว่า การพักโทษครั้งนี้เป็นไปตามมาตรฐานที่ควรเป็นหรือไม่? ใช้อภิสิทธิ์อันใดหรือไม่? รวมทั้งตั้งข้อสงสัยในเชิงการเมืองอีกว่า ต่อไปประเทศไทยจะมีนายกรัฐมนตรีกี่คน?

ผมไม่ใช่ทั้งผืนหนังและผืนเสื่อ เป็นเพียงผ้าขาวม้าธรรมดาๆผืนหนึ่งที่อยากเห็นบ้านเมืองของเราเจริญรุ่งเรือง และเดินไปข้างหน้าเรื่อยๆ อย่างราบรื่น ไม่มีก้อนหินก้อนดินขรุขระมาทำให้เดินไม่ถนัด เพราะเท้าเจ็บจนต้องหยุดเดินหรือไม่ก็อาจจะถอยหลังกลับไปด้วยซํ้า

แต่ความปรารถนาของประชาชนผืนผ้าขาวม้าอย่างผมก็จะมักจะต้องผิดหวังอยู่เสมอๆ เพราะในที่สุดแล้วประเทศเราก็เดินไปเจอก้อนกรวดก้อนหินจนเท้าเลือดโชก ต้องหยุดเดินมาหลายต่อหลายครั้ง อันเนื่องมาจากความ “ขัดแย้ง” ทางการเมืองของนักการเมืองไทย

ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ มีศักยภาพ มีสมรรถภาพ และตั้งอยู่ในชัยภูมิที่เหมาะสมยิ่งสำหรับการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป

ขอเพียงให้เรารู้จักใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เรามีอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์นี้ด้วยความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม และขอให้เรารักใคร่กลมเกลียวกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน ประเทศไทยของเราก็แทบจะพุ่งไปข้างหน้าได้แล้ว

น่าเสียดายที่เรามัวแต่ทะเลาะเบาะแว้งกัน อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การพัฒนาของเราต้องสะดุดหยุดกึกเป็นระยะๆ ทั้งๆที่ควรจะไปได้ไกลกว่านี้อีกหลายเท่า

ไม่รู้ซี…เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ผมเริ่มได้กลิ่นตุ่ยๆ ของการทะเลาะกันโชยมาอีกครั้ง เพราะทั้งผืนหนังและผืนเสื่อเริ่มโหมโรงกันแล้ว

ก็ได้แต่ภาวนาและขอร้องว่า อย่าได้เกิดเหตุการณ์บานปลายอะไรอีกเลยครับ ทุกอย่างกำลังกลับคืนสู่ภาวะฟื้นตัว อย่างที่เห็นๆ ด้วยตาของเรามาตั้งแต่ลอยกระทง ปีใหม่ ตรุษจีน จนถึงวาเลนไทน์ และน่าจะไปอย่างน้อยถึงสงกรานต์

ณ นาทีนี้ผมเห็นด้วยอีกครั้งกับคำยืนยันของ สภาพัฒน์ และ แบงก์ชาติ ที่ว่า เศรษฐกิจไทย เรา แม้ จีดีพี จะเพิ่มตํ่ากว่าคาดแต่มิได้วิกฤติ…ที่น่าห่วงมากๆ ว่า จะวิกฤติ (อันนี้เป็นความเห็นของผมนะครับ) น่าจะเป็น การเมืองไทย เสียมากกว่า

ผมไม่ใช่หมอดูแต่จากประสบการณ์ผมรู้สึกเขม่นตาตั้งแต่เวลา 6 โมงเช้า 33 นาที ของวันอาทิตย์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 ที่มีข่าวว่า รถของอดีตนายกฯ ทักษิณไปถึงประตูบ้าน “จันทร์ส่องหล้า” นั่นแหละครับ.

“ซูม”

อย่าห่วง "เศรษฐกิจ" วิกฤติ นาทีนี้ควรห่วง "การเมือง", ข่าวใหญ่, ทักษิณ ชินวัตร, พักโทษ, นักโทษ, จีดีพี,  ประเทศไทย, ซูมซอกแซก