จากที่ผมเขียนไว้ในฉบับวันจันทร์ที่ผ่านมา ขอบคุณคุณหมอ 2 ท่านที่ออกมาให้สัมภาษณ์แตะเบรก “กัญชาเสรี” ซึ่งกลายเป็นกระแสท็อปฮิตยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอยู่ในขณะนี้ เพื่อให้สังคมไทยหันมาใช้สติปัญญากันมากขึ้น
เพราะผมยังเชื่อความคิดของคนไทยรุ่นเก่าที่มองว่า “กัญชา” เป็นยาเสพติด และมีพิษมีภัยทั้งต่อมนุษย์และสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง…เปรียบเสมือน “ผู้ร้าย” ที่คอยรังแกสังคมไทยจึงได้มีกฎหมายคุมเข้มไว้
จู่ๆ ก็มีคนมาบอกว่าผู้ร้ายตัวนี้เป็นพระเอกต่างหากล่ะ ต้องปลดล็อกเลิกกฎหมายนี้เพื่อให้ “กัญชา” ได้แสดงบทพระเอกอย่างแท้จริง…คนเก่าคนแก่รุ่นผมมีหรือจะเชื่อได้ง่ายๆ
แม้จะอ้างว่ากัญชาเป็นพระเอกในการเป็นยารักษาโรคบางอย่าง…ที่ปลดล็อกเนี่ยก็เพื่อใช้สำหรับการรักษาโรคนะ ไม่ใช่นำไปใช้เพื่อการสันทนาการ หรือการรื่นเริงบันเทิงใจใดๆ ทั้งสิ้น
แต่วิธีการที่ท่านดำเนินการและกระแสที่ปั่นออกไปถึงขั้นเป็นความหวังใหม่ เป็นพืชเศรษฐกิจใหม่นั้น มันขัดแย้งกับความเป็นจริง
เพราะลักษณะการเตรียมการปลูกหรือการผลิต แม้จะบอกว่ามีการควบคุม แต่ภาพที่ออกมาดูโกลาหลอลหม่านเหมือนจะปลูกกันได้อย่างเสรีทั่วประเทศ
แบบนี้ปริมาณการผลิตน่าจะเกินกว่าเอาไปทำยารักษาโรคแล้วล่ะครับ จึงทำให้ทุกฝ่ายเป็นห่วงว่าในที่สุดเจ้าส่วนเกินที่ว่านั่นแหละที่มันจะไปโผล่ในตลาด “สันทนาการ” ที่พร้อมจะสู้ราคาและทุ่มซื้อไม่อั้น
ผู้ที่ห่วงในประเด็นนี้มากๆ ก็คือ คุณหมอ 2 ท่านที่ผมอ้างถึง ได้แก่ คุณหมอ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และคุณหมอ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ที่แสดงความกล้าหาญออกมาสวนกระแสและท้วงติงด้วยเหตุด้วยผลจนเป็นข่าวหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ต่อมาอีกวัน 2 วันผมก็รู้สึกใจชื้นที่คุณหมอชั้นผู้ใหญ่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเองต่างก็ออกมาแถลงเป็นแถวๆ อย่างพร้อมเพรียงกันว่าการปลดล็อกครั้งนี้เป็นการปลดล็อกทางการแพทย์อย่างเดียวเท่านั้น มิได้ปลดล็อกด้านอื่นๆ
รวมทั้งท่านรองนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีสาธารณสุข อนุทิน ชาญวีรกูล เองก็แถลงด้วยว่า ท่านเน้นเรื่องการแพทย์เท่านั้น อย่างอื่นท่านไม่เอาด้วยและไม่สนับสนุนเด็ดขาด
ก็ต้องขอบคุณที่ท่านรองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างจริงจังในลักษณะนี้ แต่จะช่วยลดกระแสความฮือฮาหรือลดความคาดหวังของผู้คนลงได้แค่ไหนคงต้องรอดูต่อไป
เพราะที่พรรคของท่านและตัวท่านเองนั่นแหละไปเผลอเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กัญชาในช่วงแรกๆ นั้น ภาพที่ออกมาเหมือนกับปลดล็อกในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการนำไปใช้ในด้านสันทนาการที่สังคมไทยเป็นห่วงกันมาก
มาถึงจุดนี้ดูเหมือนว่ากระแสกำลังตีกลับ เพราะล่าสุดท่านผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ท่านก็ออกมาแถลงในลักษณะ “เบรก” ด้วยเช่นกัน
ด้วยการนำข้อมูลมาบอกสังคมไทยว่ามีคนตายไปแล้วหนึ่ง เพราะเสพกัญชามากเกินเหตุ ทำให้ท่านรู้สึกห่วงใยโรงเรียนในสังกัด กทม.ที่ท่านดูแล เกรงว่าต่อไปกัญชาจะเข้าถึงเด็กๆ ได้ง่ายๆ จึงเตรียมจะประกาศให้โรงเรียน กทม. 437 แห่ง เป็นเขตปลอดกัญชา
ผมก็คงจะต้องขอบคุณท่านผู้ว่าฯ กทม. ที่ออกมาแสดงความห่วงใยเรื่องนี้อีกแรงหนึ่ง เพราะจะทำให้กระแสทางด้านกังวลใจหรือความไม่สบายใจในเรื่องนี้เริ่มมีพลังมากขึ้น
อันจะเป็นผลทำให้ในร่างกฎหมายหรือระเบียบต่างๆ ที่จะออกมาเกี่ยวกับการปลดล็อกกัญชาเฉพาะด้านการแพทย์ดังกล่าว เป็นไปด้วยความรอบคอบระมัดระวังมากยิ่งขึ้นนับจากนี้เป็นต้นไป
ก็แค่นี้แหละครับที่ผมต้องการคือ อยากให้ดำเนินการอย่างรัดกุม อย่างตระหนักรู้ว่ากัญชายังเป็น “ผู้ร้าย” ไม่ใช่พระเอก…แม้จะสามารถแปลงบทมาเป็นผู้ช่วยพระเอกได้บ้าง ก็จะต้องควบคุมให้ดีๆ
ไม่ใช่จัดงานกันเอิกเกริกแถลงข่าวเอิกเกริกอย่างที่ดำเนินการกันไปแล้ว จนผู้คนหลงผิดไปทั้งประเทศจนต้องมีการออกมา “เบรก” และดึงกลับมาสู่ความเป็นจริงอยู่ในขณะนี้.
“ซูม”