รวยเท่าไรไม่มีใครว่า ขอเพียงอย่าลืม “คนจน”

เมื่อวานนี้ผมเขียนถึงรายงานข่าวของซีเอ็นเอ็นว่าด้วยเรื่องความเหลื่อมล้ำระดับโลก ที่มีนักวิชาการกลุ่มหนึ่งลองเอาตัวเลขรายได้ของเอกอัครมหาเศรษฐี 10 อันดับแรกของโลกที่นิตยสารฟอร์บส์ลงไว้มาคำนวณจากปีต่อปีแล้วพบว่าในช่วงโควิดระบาดเกือบ 2 ปีที่ผ่านมานี้ผู้ร่ำรวยทั้ง 10 ต่างก็ร่ำรวยมากยิ่งขึ้นไปอีก

ในขณะที่คนจนทั่วโลกมีแต่จนลง แม้แต่ธนาคารโลกก็วิเคราะห์ว่า 2 ปีที่เกิดโควิดระบาด จำนวนคนจนทั่วโลกที่อยู่ใต้เส้นวัดความจนมีรายได้วันละ 2 เหรียญนั้นกระฉูดขึ้นเกือบ 100 ล้านคน

ในรายงานของซีเอ็นเอ็นระบุว่าผู้ที่หยิบตัวเลขนี้มาศึกษาเสนอแนะให้รัฐบาลของประเทศที่คนรวยทั้งหลายอาศัยอยู่นั้นดำเนินการจัดเก็บภาษีพิเศษ เพื่อนำส่วนหนึ่งของรายได้ที่เพิ่มอย่างมหาศาลนี้ไปช่วยเหลือคนยากจนหรือสังคมโดยรวมโดยเฉพาะ

จะไปซื้อวัคซีนแจกหรือสนับสนุนระบบสุขภาพ ระบบการทำมาหากินของคนจน เพื่อช่วยลดช่องว่างที่เกิดขึ้น ล้วนเป็นเรื่องที่น่าดำเนินการอย่างยิ่ง

เสร็จแล้วผมก็ทิ้งท้ายว่า เศรษฐี 10 อันดับแรกของไทยแลนด์จะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้? น่าจะมีนักวิชาการลองไปหยิบรายได้ของท่านมาคำนวณดูบ้าง เพื่อเปรียบเทียบกับตัวเลขรายได้ของคนจนบ้านเรา

ถ้าจะให้ผมเดาโดยยังไม่ต้องลงมือศึกษาหรือสำรวจ ผมก็เชื่อว่าของบ้านเราก็จะเหมือนของโลกแหละครับ ท่านเศรษฐีไทยแลนด์น่าจะรวยขึ้นพอสมควรในสถานการณ์ขณะนี้ คนยากจนก็คงจะจนลงพอสมควรเช่นกัน

เพราะในระบบเศรษฐกิจเสรีนั้นเราต้องยอมรับว่า…ในที่สุดแล้วเงินก็จะไปอยู่กับคนมีเงินนั่นเอง

ซึ่งก็ไม่ใช่ความผิดของท่านเศรษฐี ไม่ใช่ความผิดของคนร่ำรวย…จริงๆ แล้วเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วด้วยซ้ำที่เศรษฐีหรือคนมีเงินจะต้องร่ำรวยขึ้นไปอีก

เมื่อเราเลือกที่จะเดินในระบบเศรษฐกิจเสรีเราก็จะต้องยอมรับความจริงข้อนี้…ยิ่งพัฒนาหรือยิ่งเดินไปข้างหน้า คนรวยก็จะยิ่งรวยขึ้นและรวยขึ้น…และ “ช่องว่าง” ก็จะกว้างมากขึ้น

ก็มีคำถามว่า…ถ้างั้นเราจะเลือกเดินทางนี้ทำไม?

คำตอบก็คือ เพราะพิสูจน์แล้วว่าทางนี้แม้จะมีข้อไม่ดีไม่เหมาะสมอยู่เยอะ แต่ลงท้ายแล้วก็ยังดีกว่าหนทางอื่นๆ

โลกเคยลองเดินในทาง “สังคมนิยม” คนต้องทัดเทียมกันทั้งหมดรวยเท่ากันจนเท่ากัน…ซึ่งปรากฏว่าไปไม่รอด เพราะโอกาสรวยเท่ากันแทบไม่มีเลย…มีแต่จนเท่ากันอย่างเดียวในทุกประเทศที่ใช้ระบบที่ว่า

เศรษฐกิจไม่เดิน ไม่มีการค้าขาย ไม่มีแรงจูงใจ…ฯลฯ ในที่สุดก็ต้องเลิก “ระบบสังคมนิยม” ไปทั่วโลก…หรือแม้จะยังมีอยู่ก็ต้องหันมาใช้ระบบเสรีนิยมควบคู่ไปด้วยที่เรียกกันว่า “1 ประเทศ 2 ระบบ”

ส่งผลให้หลายๆประเทศสังคมนิยมกลับใจพลิกฟื้นขึ้นมาอย่างที่เห็นๆและเมื่อฟื้นแล้วประเทศที่ว่านี้ก็หนีไม่พ้นปัญหา “ช่องว่าง” และความ “เหลื่อมล้ำ” เช่นเดียวกับประเทศเสรีนิยมเช่นกัน

แต่ข้อดีของระบบ “เสรีนิยม” ก็คือ ถ้ารัฐเข้มแข็ง…ก็ยังมีช่องทางที่จะเก็บเกี่ยวรายได้จากคนรวยมาเป็น “กองกลาง” เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาด้านอื่นๆ หรือนำไปใช้ช่วยลดช่องว่างด้วยการสร้างระบบสวัสดิการหรือระบบประกันสุขภาพ ฯลฯ ให้แก่คนจนในภายหลังได้บ้าง

แม้จะช่วยไม่ได้หมดและบางประเทศช่วยไม่ได้มาก แต่ก็ดีตรงที่เศรษฐกิจยังเดินไปข้างหน้าได้…ไม่หยุดสนิทเหมือนอีกระบบหนึ่ง

โลกจึงเลือกเดินในระบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้และยอมทนเห็นภาพ “ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นขณะนี้พร้อมกับทำอยู่ 2 อย่าง คือ เร่งสร้างกลไกเก็บ ภาษีให้เข้มแข็งไปพร้อมๆ กับสร้างความกดดันในสังคม…เพื่อให้คนรวยทั้งหลายมีจิตสำนึกและมีความรับผิดชอบช่วยสังคมช่วยคนจนควบคู่ไปด้วย

ที่ผมพยายามเขียนมาตลอดในช่วงเกือบ 2 ปีถึง “คนรวย” ในประเทศไทยก็ด้วยเหตุผลข้อนี้แหละครับ

ผมยินดีด้วยที่ท่านทั้งหลายรวยมากขึ้น…แต่ท่านจะต้องรู้ด้วยนะครับว่า ในขณะเดียวกันก็มีคนไทยจำนวนมากจนลงใน 2 ปีที่ผ่านมา

ท่านจะแบ่งปันมาช่วยเหลือคนจนอย่างไรบ้าง ก็ขอให้คิด ขอให้ริเริ่ม ขอให้รีบดำเนินการ…โอกาสนี้เหมาะที่สุดที่ท่านทั้งหลายจะตอบแทนพระคุณแผ่นดิน (ที่ทำให้ท่านร่ำรวยและมีวันนี้)

อย่าชะล่าใจว่าโลกจะไม่กลับไปสู่ระบบสังคมนิยมอีก ไม่แน่หรอก… ถ้าช่องว่างมันมากไปจนเกินรับ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้เสมอ

ฝากไว้ด้วยนะครับมหาเศรษฐีของประเทศไทย.

“ซูม”

ช่าว, เศรษฐกิจ, คนรวย, เศรษฐี, ไทย, โควิด 19, ซูมซอกแซก