เมื่อโรงเรียนเป็น “ธุรกิจ” คุณภาพ+คุณธรรม…ก็ลดลง

คงจะเป็นข่าวหน้า 1 และข่าวนำของทีวีช่องต่างๆ อีกหลายวันละครับ สำหรับเรื่องราวของ “ครูจุ๋ม” และคุณครูใจร้ายอีกหลายๆ คนของโรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์ จังหวัดนนทบุรี

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่ายุคนี้สมัยนี้ยังจะมีคุณครูใจร้ายแบบนี้อยู่อีก ท่านที่เห็นคลิปหลายๆ คลิปที่มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง หรือที่นำมา ออกอากาศบ้างในดิจิทัลทีวี คงจะรู้สึกใจหาย เกิดความสงสารเห็นใจเด็กๆ ไปพร้อมกับความรู้สึกโกรธแค้นคุณครูจนอยากจะไปร่วมตะโกนโวยวายแบบผู้ปกครองของเด็กๆ ที่ถูกทารุณเสียด้วยเลย

สำหรับคนรุ่นผมที่เขาเรียกว่ารุ่นหลังสงครามโลก ต่อมาถึงรุ่นเบบี้บูมเมอร์นั้น ความจริงก็โดนตี โดนเฆี่ยน โดนดุ โดนตะคอกมามาก แต่เท่าที่จำได้คุณครูที่ดุเรา เฆี่ยนเรา มิได้โหดแบบที่เห็นในคลิป

คุณครูสมัยก่อนจะเริ่มตี หรือหวดก้น หรือใช้ไม้เรียวกับเด็กโตแล้ว เท่านั้น คือจะต้องเป็นนักเรียนชั้นประถมปลายๆ หรือชั้นมัธยมโน่นแหละ ท่านถึงจะลงมือลงไม้

และที่เลือกใช้วิธี “หวดก้น” ก็เพราะก้นเป็นบริเวณที่มีกล้ามเนื้อแข็งที่สุด แน่นที่สุด หวดแล้วไม่เป็นอันตรายมากเหมือนบริเวณที่เปราะบางอื่นๆ ของร่างกาย

ขณะเดียวกัน ถ้าเรามองย้อนกลับไปจะพบว่าการหวดก้น หรือการดุ การตะคอกของครูยุคก่อนๆ ท่านจะแฝงไว้ด้วยความเมตตา ปรานี ใครไม่ร้ายจริงๆ ไม่ดื้อจริงๆ ท่านก็ไม่ยุ่งด้วย

เป็นเหตุให้ผู้คนรุ่นผมที่โดนหวดก้นมาหลายครั้ง ยังกลับไปกราบไหว้ขอบพระคุณท่าน และยังรำลึกถึงไม้เรียวของท่านที่ทำให้เราเป็นคนดี มีความรู้ สามารถประกอบสัมมาอาชีพได้ เมื่อเติบใหญ่ขึ้น

ตรงข้ามกับภาพที่เราเห็นคลิปว่าคุณครูหลายๆ คนมิได้มีคุณลักษณะแบบคุณครูรุ่นเก่าแม้แต่น้อย คือไม่มีความเมตตา ปรานี หรือเฆี่ยนด้วยความหวังดี ว่างั้นเถอะ

การตบเด็ก ผลักเด็กโดยใช้มือสัมผัสไปที่จุดเปราะบางหลายๆ จุด เช่น ศีรษะ ใบหู และบริเวณหน้า รวมถึงจับไปยัดขังในห้องนํ้า ย่อมไม่ใช่การลงโทษแบบปรารถนาดีอย่างแน่นอน

ที่สำคัญทำกับเด็กอนุบาลด้วยนะครับ ซึ่งอย่างที่ผมเรียนแล้วว่าสมัยก่อนไม่มีแบบนี้ ครูจะเริ่มลงโทษเด็กเมื่อเด็กโตขึ้นมาแล้วเท่านั้น

ทันทีที่ข่าวนี้ดังขึ้น ก็มีการเปิดเผยในสำนักข่าวออนไลน์หลายๆ สำนักว่า โรงเรียนดังกล่าวนี้มีสาขาถึง 45 แห่ง ราวกับธุรกิจแฟรนไชส์ต่างๆ เลยทีเดียว และเมื่อปี 2562 มีรายได้รวมกันถึง 1,452.9 ล้านบาท กำไร 367.7 ล้านบาท และมีกำไรสะสมสูงถึง 4,556 ล้านบาทเศษ

จริงๆ แล้ว การศึกษาไม่ควรจะเป็น “ธุรกิจ” เลย เพราะเป็นเรื่อง ของการให้ เรื่องของการถ่ายทอด เรื่องของการฝึกอบรมสั่งสอน ในอันที่จะเพาะบ่มให้มนุษย์เป็นคนเก่ง เป็นคนดีมีความรอบรู้

ครั้นเมื่อภาครัฐไม่สามารถดำเนินการได้ทันต่อความต้องการของประชาชนทั่วไป จึงผ่องถ่ายให้ภาคเอกชนไปช่วยดำเนินการ แต่ก็จะต้องคำนึงถึงหลักการที่ว่า “การศึกษา” ไม่ใช่ “การค้า” หรือไม่ใช่ธุรกิจขนานแท้แบบธุรกิจทั่วไป

ใครก็ตามที่มาดำเนินธุรกิจนี้ จึงสมควรที่จะต้องดำเนินการอย่างมีความรับผิดชอบ และอย่างมีคุณธรรมมากกว่าธุรกิจโดยปกติ

จึงน่าแปลกใจมากที่เครือโรงเรียนนี้ปล่อยให้มีการขยายสาขาอย่างมากมายโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพเท่าที่ควร

เทียบแล้วยังสู้ธุรกิจทั่วไปอย่าง KFC อย่างสตาร์บัคส์ หรืออย่าง แมคโดนัลด์ ฯลฯ ที่มีทั่วโลกและในบ้านเราก็มีมาก…มิได้เลย

เพราะธุรกิจแฟรนไชส์ที่ว่านี้เขาสามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของสินค้าของเขาได้เหมือนกันหมด ไม่ว่าคุณจะไปกินในประเทศไหน หรือจังหวัดไหนก็ตาม รสชาติจะเหมือนกันทั้งสิ้น

เมื่อแบรนด์โรงเรียนนี้ไม่ควบคุมคุณภาพให้เหมือนกันได้ทุกโรงเรียน โดยเฉพาะคุณภาพของ “ครู” อย่างที่เป็นข่าวก็คงต้องเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะต้องลงไปควบคุมดูแลแบรนด์นี้อย่างเข้มข้นมากขึ้น เพื่อให้เป็นแบรนด์ที่ดี มีคุณภาพและมีคุณธรรมตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการนั่นแหละตั้งไว้

ยังมีอีกไหมครับ โรงเรียนที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์แบบนี้…ฝากกระทรวงศึกษาธิการดูแลให้ครบทุกโรงเรียนด้วยนะครับ จะขอบคุณยิ่ง.

“ซูม”

โรงเรียนสารสาสน์วิเทศราชพฤกษ์, การศึกษา, โรงเรียน, ครู, ซูมซอกแซก