5 ชั่วโมงที่ “ทาลลินน์” เมืองหลวง “เอสโตเนีย”

เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา หัวหน้าทีมซอกแซกเขียนถึง “เอสโตเนีย” ประเทศจิ๋วแต่แจ๋วอีกประเทศหนึ่ง ที่มีเนื้อที่แค่ 45,227 ตารางกิโลเมตร มีประชากรแค่ 1.3 ล้านคน แต่เก่งเรื่องไฮเทค หรือไอทีอย่างเหลือเชื่อ กลายเป็นประเทศ “ออนไลน์” และต้นตำรับ E–government โด่งดังไปทั่วโลก

ได้คิว “ซอกแซกวันอาทิตย์” วันนี้ขออนุญาตเขียนถึงความสวยความงามและความน่าเที่ยวของ เอสโตเนีย โดยเฉพาะเมือง ทาลลินน์ เมืองหลวงของเขาที่หัวหน้าทีมซอกแซกมีโอกาสไปเดินยํ่าเท้าด้วยความชื่นชมอยู่หลายชั่วโมงเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนโน้น

ดังที่เล่าไว้แล้วว่า เอสโตเนีย กับ ฟินแลนด์ นั้น อยู่ห่างกันแค่ 80 กิโลเมตร โดยมีทะเลบอลติก ในส่วนที่เรียกว่าอ่าวฟินแลนด์ขวางกั้นอยู่ ฉะนั้น การเดินทางที่สะดวกที่สุดจาก เฮลซิงกิ เมืองหลวงของฟินแลนด์ ไปสู่ ทาลลินน์ เมืองหลวงของเอสโตเนีย จึงเป็นทางเรือนั่นเอง

วันหนึ่งๆ จะมีเรือเฟอร์รี่ออกจากเฮลซิงกิไปทาลลินน์กี่เที่ยวลืมสอบถามผู้รู้มาเสียสนิท แต่จำได้แม่นยำว่า สำหรับเที่ยวที่หัวหน้าทีมซอกแซกและคณะสื่อมวลชนออกเดินทางไปเมืองหลวงของเอสโตเนียนั้น เป็นเวลา 07.30 น. ค่อนข้างเช้าตรู่ ทำให้พวกเราต้องโดนปลุกลุกจากที่นอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า

เรือเฟอร์รี่ลำที่เราโดยสารมีขนาดใหญ่โตไม่เบา สามารถแล่นฝ่าอ่าวฟินแลนด์ซึ่งมีลมแรงและคลื่นลูกใหญ่มิใช่เล่น โดยไม่มีอาการโคลงเคลงแต่อย่างใดเลย

ลักษณะเป็น เรือสำราญ กลายๆ มีห้องพักหลับนอนหลายสิบห้อง และมีอยู่ชั้นหนึ่งเป็นคอฟฟีช็อปขนาดใหญ่ มีอาหารเช้า มีกาแฟเสิร์ฟให้ดื่มกินอย่างเต็มที่ สำหรับผู้ที่ตีตั๋วชั้นธุรกิจ ซึ่งจะมีห้องนั่งพักแยกต่างหาก

ในเรือมีพร้อมสรรพ ทั้งตู้กาสิโนเพื่อให้ผู้โดยสารเสี่ยงโชค และร้านค้าปลอดภาษี กับซุปเปอร์ มาร์เกตเล็กๆ ซึ่งขายเบียร์ในราคาถูกกว่าบนภาคพื้นดิน

มีประตูเปิดให้ออกไปนั่งรับลมทะเลเล่นได้บนดาดฟ้าเรือ ซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนมักจะแค่เดินออกไปสูดอากาศและนั่งพักระยะสั้นๆ เท่านั้น เพราะลมค่อนข้างแรง และอุณหภูมิเช้าวันนั้นน่าจะอยู่ราวๆ 10 องศาเซลเซียส เย็นเอาการทีเดียว

ประมาณ 2 ชั่วโมงต่อมา เฟอร์รี่ของเราก็เข้าเทียบท่าเมือง ทาลลินน์ และเมื่อจอดสนิทแล้ว เราก็เดินออกจากเรือไปตามเส้นทางสกาย วอล์กยาวจากท่าเรือไปเข้าประเทศเอสโตเนียตามช่องที่เขากำหนดไว้ ซึ่งก็ไม่มีการตรวจหรือขอดูพาสปอร์ตแต่อย่างใดทั้งสิ้น ใช้เพียงบัตรโดยสารเรือแตะไปยังที่กั้นเหมือนตอนจะเข้าสู่ชานชาลาบีทีเอสบ้านเราเท่านั้นเอง

บริษัททัวร์ที่ ปตท.จัดไว้นำพวกเราไปสู่บริเวณเขตเมืองเก่าของเมืองทาลลินน์ ที่เรียกกันว่า Toompea หรือ Upper town ซึ่งจะตั้งอยู่บนเขาหินปูน นอกจากจะได้เดินชมเมืองซึ่งเป็น “มรดกโลก” แห่งนี้แล้ว ยังจะมองลงมาเห็นเมืองทาลลินน์ทั้งเมือง ทั้งในส่วนที่เป็นเมืองเก่า ก่อสร้างในสไตล์โบราณ และเมืองใหม่ที่ก่อสร้างแบบทันสมัยอยู่ข้างล่าง

เราแวะไปที่โบสถ์คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ที่มียอดโดมใหญ่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ.1900 ในช่วงที่เอสโตเนียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในยุคพระเจ้าซาร์ โดยช่างและสถาปนิกที่ส่งตรงมาเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ลักษณะของโบสถ์จึงออกมาในแบบของโบสถ์ต่างๆที่เคยไปเห็นมาที่รัสเซียแทบทุกกระเบียดนิ้ว

เขาเรียกโบสถ์นี้ว่า อเล็กซานเดอร์ เนฟสกี เพื่อระลึกถึงและอุทิศให้แก่ เจ้าชาย อเล็กซานเดอร์ ยาโร สลาวิทช์ เนฟสกี แห่งรัสเซียนั่นเอง

จากโบสถ์ เราเดินไปเรื่อยๆ และดูเหมือนจะขึ้นสูงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ไปถึงจุดชมเมือง ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาเข้าคิวชมเมืองบ้าง ถ่ายรูปบ้าง เช็กอินบ้าง อย่างหลามล้น เพราะมองลงไปจะเห็นเมืองทาลลินน์เกือบครึ่งเมืองอยู่ข้างล่าง

เห็นทั้งโบสถ์ที่เราผ่านมาเมื่อสักครู่ แล้วก็เห็นหลังคาแหลมๆ ของสิ่งปลูกสร้างสีแดง เรียงลดหลั่นไปไกลสุดสายตา

จากจุดนี้เดินวนไปอีกหน่อยก็จะถึงจุดชมวิวแห่งที่สอง ซึ่งจะมองเห็นวิวด้านทะเล รวมทั้งเห็นท่าเรือที่เราเดินทางมาจากเฮลซิงกิและเทียบจอดขึ้นท่าเมื่อเช้านี้ด้วย

ผ่านจุดชมวิวเรียบร้อย เราก็เดินลงไปที่บริเวณที่เขาเรียกว่า “ทาวน์ฮอลล์” หรือศาลาว่าการเมืองทาลลินน์ ซึ่งอยู่ไกลจากจุดชมวิวพอสมควร แต่เดินไม่เหนื่อยนัก เพราะจะเป็นช่วงลงเขาเสียเป็นส่วนใหญ่

ไกด์บอกเราว่า ศาลาว่าการแห่งนี้ตั้งอยู่ในบริเวณที่เป็นจัตุรัสของเมืองเก่าแห่งนี้ สร้างขึ้นในยุคศตวรรษที่ 13 แล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ.1404 และมีการฉลอง 600 ปีไปเมื่อ ค.ศ.2004

แข็งแรงมาก ทุกวันนี้เขาก็ยังใช้เป็นที่ทำงานกันอยู่ และถือว่าเป็นศาลาว่าการที่เก่าแก่ที่สุดในย่านทะเลบอลติกและสแกนดิเนเวีย

บริเวณหน้าศาลาว่าการมีตลาดร้านค้าแผงลอยสไตล์ยุโรป มีสินค้าโอทอปของเอสโตเนียมาวางจำหน่ายเต็มไปหมด…มีร้านอาหาร ร้านกาแฟ ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนเต็มพรืด และก็มีผู้คนจำนวนมากเดินไปเดินมาตลอดเวลา

ที่หน้าศาลาว่าการมีร้านขายยาเก่าที่สุดของยุโรปตั้งอยู่ด้วย ทุกวันนี้ก็ยังเปิดกิจการ มีคนเข้าไปซื้อยาและถ่ายรูปเป็นที่ระลึกไม่ขาดสาย

อีกซีกหนึ่งของย่านนี้ แม้จะยังเป็นเมืองเก่าอยู่ แต่ก็ขายสินค้าใหม่ๆ ทันสมัย และมีคอฟฟีช็อป มีร้านดอกไม้สวยๆ เรียงรายอยู่ด้วย

มีร้านแมคโดนัลด์อยู่ร้านหนึ่ง คนแน่นอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว

เราใช้เวลาอยู่ที่เมืองทาลลินน์จนถึง 3 โมงครึ่งกว่าๆ จึงกลับไปที่ท่าเรือ แล้วนั่งเรือกลับสู่ เฮลซิงกิ ตอน 4 โมงตรง และอีก 2 ชั่วโมง เราก็กลับมาที่ฟินแลนด์อีกหน

เป็นอันว่า หัวหน้าทีมซอกแซกมีโอกาสไปเหยียบประเทศที่ได้ชื่อว่าไฮเทคระดับต้นๆ ของโลก “เอสโตเนีย” มาเรียบร้อย แม้ส่วนใหญ่จะอยู่ในบริเวณเมืองเก่า ซึ่งไม่มีกลิ่นอายของไฮเทคเท่าไรนัก

แต่ก็กลับมาเข้ากูเกิลอ่านเรื่องราวของเอสโตเนียทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ เป็นร้อยๆ ข่าว และบทความอย่างที่บอกไว้เมื่อวันศุกร์ และขอยํ้าอีกครั้งว่า…เชื่อแล้วละเอสโตเนียคือสุดยอดประเทศไอทีที่แท้จริง.

“ซูม”