สังคมที่ทะเลาะทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่อง “ไหว้ครู”

ผมเข้าไปมีส่วนร่วมกับ “วันไหว้ครู” ปีนี้ ตั้งแต่เมื่อเย็นวันพุธที่ 12 มิถุนายนแล้วละครับ เหตุเพราะหลานเลิฟวัย 5 ขวบของผมที่เรียนอยู่อนุบาล 3 อยากได้ดอกมะเขือไปใส่กรวยที่เธอจะใช้ไหว้ครูในวันรุ่งขึ้น

เธอรู้ว่าที่บ้านผมมีสวนผักอยู่เต็มหน้าบ้าน และปลูกต้นมะเขือไว้หลายต้น จึงขอให้ย่าหรือภรรยาผมช่วยเด็ดดอกมะเขือไปให้ด้วย

ผมก็เลยรู้ตั้งแต่เย็นวันพุธแล้วว่า รุ่งขึ้นวันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน 2562 จะเป็นวันไหว้ครูของปีนี้

แต่พอถึงเช้าวันศุกร์ที่ 14 มิถุนายน ระหว่างเตรียมตัวเข้ารายการวิทยุ “สนทนากับจ่าแฉ่ง” ของ Sport Radio “FM 96” ซึ่งจำเป็นจะต้องอ่านหนังสือพิมพ์ 3-4 ฉบับ เพื่อหาประเด็นข่าวมาพูดเกริ่นก่อนถึงข่าวกีฬานั้น ก็พบว่าประเพณีไหว้ครูอันงดงามที่ผมก็มีส่วนร่วมโดยส่งดอกมะเขือไปให้หลานเมื่อวานนี้กลายเป็นข่าวหน้า 1 ทุกฉบับ

เด็กรุ่นใหม่ส่วนมากมัธยมปลายกันแล้ว จากหลายๆ โรงเรียนอาจใช้คำว่าทั่วประเทศเลยก็ได้กระมัง เพราะมาจากทุกภาค หันมาจัดทำ “พานไหว้ครู” แสดงออกแนวความคิดทางการเมืองเป็นแถวๆ

มีทั้งพานรถถัง พานนาฬิกายืมเพื่อน พานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พานตาชั่งเอียง พานชูสามนิ้ว พานกล่องเลือกตั้ง พานสัญลักษณ์พรรคการเมืองบางพรรค ฯลฯ

ผมก็เลยต้องพูดออกอากาศเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ผู้ฟังของผมฟังพร้อมกับแสดงความเห็นว่าผมเคารพในความคิดของเด็กรุ่นใหม่ ชื่นชมในการแสดงออกของเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นอนาคตของชาติอย่างยิ่ง

เกือบทุกประเด็นถูกใจผมมาก เพราะถ้าจะว่าไปก็เป็นประเด็นที่พวกผมนักข่าวหยิบมาวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองกันอยู่แล้ว

แต่ผมไม่เห็นด้วยที่จะนำมาแสดงออกในวัน “ไหว้ครู” ผ่านพานพุ่มดอกไม้ที่เราตกแต่งขึ้นมาเพื่อกราบไหว้คุณครู

เพราะอยากจะให้ “วันไหว้ครู” เป็นวันที่แสดงความรักความเคารพและความกตัญญูกตเวทิตาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ควรจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาทำให้เฉไฉหรือเบี่ยงเบนไปจากนี้

นี่ถ้าลูกๆ หลานๆ ไปแสดงออกบนอัฒจันทร์เชียร์กีฬาสี หรือบนเวทีการแสดงของโรงเรียนในงานปิดภาคหรืองานฉลองอะไรสักอย่าง ผมจะปรบมือให้ดังสนั่นไปเลยเชียว

ก็เป็นความเห็นตามประสาคนแก่คนหนึ่งที่รู้ตัวว่าจะอยู่ในโลกนี้ไปได้อีกไม่กี่ปีแล้ว จึงอยากจะฝากให้ลูกหลานดูแลสิ่งที่ดีงามของประเทศนี้ให้คงอยู่ต่อไปอีกนานแสนนานว่างั้นเถอะ

พอจัดรายการวิทยุเสร็จตอนสายๆ ลองเปิดดูโซเชียลทั้งไลน์ทั้งเฟซบุ๊ก ก็พบว่าเรื่องบานปลายออกไปอีกแยะ

เมื่อมีรายงานข่าวว่าผู้ใหญ่บางคนออกมาดุ ออกมาวิจารณ์การกระทำของเด็กๆ ตั้งข้อสงสัยเด็กๆ ว่าต้องโดนใครยุยงส่งเสริมแน่นอน

ขณะเดียวกันเด็กๆ หลายๆ โรงเรียน รวมทั้งครู ผู้บริหารโรงเรียนที่เรียกกันว่า ผู้อำนวยการบางแห่งก็ออกมาชี้แจงกันยกใหญ่

เสร็จแล้วก็มีการแสดงความคิดความเห็น หรือ “เมนต์” ยาวเหยียดเป็นร้อยๆ พันๆ ความเห็นอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน

เปิดประเด็นความคิดต่างและใช้ถ้อยคำประเภทก้าวร้าวรุนแรง ด่าทอกันไปมา แล้วแต่ว่าใครจะเห็นด้วยกับฝ่ายไหน

ที่เห็นกลางๆ คือมองว่าการแสดงออกของเด็กๆ นั้น แม้จะเป็นเรื่องที่ดีแต่อยากให้ “วันครู” เป็นวันศักดิ์สิทธิ์และเป็นเรื่องของการแสดงความเคารพบูชา ขอบพระคุณคุณครูเพียงอย่างเดียวก็มีมาก

มีอยู่รายหนึ่งโพสต์บทไหว้ครูทำนองสรภัญญะที่เราเคยท่องมาตั้งแต่เด็กที่ว่า…ปาเจรา จริยา โหนติ คุณุตตรา นุสาสกา ข้าขอประณตน้อมสักการ บูรพคณาจารย์ ผู้กอปรประโยชน์ศึกษา ทั้งท่านผู้ประสาทวิชา อบรมจริยา แก่ข้าในกาลปัจจุบัน ฯลฯ ไปจนจบท่อนท้ายว่า

“ปัญญาวุฒิ กะเรเตเต ทินโนวาเท นะมามิหัง”

อ่านแล้วก็ดีใจที่ยังมีคนเห็นตรงกับผมที่อยากจะให้ “วันครู” เป็นวันของครูกับศิษย์โดยแท้ปราศจากการเมืองใดๆ มาแผ้วพานทั้งสิ้น

ก็เอาเถอะ…ปีนี้เกิดขึ้นแล้วก็แล้วกันไปได้แสดงอารมณ์ได้ถกเถียงกันได้ทะเลาะกันพอหอมปากหอมคอก็ขอให้จบเพียงเท่านี้

ปีหน้าขอแค่หญ้าแพรก ดอกมะเขือกับดอกเข็มอย่างเดิมนะครับ.

“ซูม”