การบ้าน “บิ๊กตู่” สู้เศรษฐกิจ พิษสง “โควิด-19” แรงเกินคาด

คณะรัฐมนตรีมีมติออกมาเรียบร้อยแล้วนะครับ แพ็กเกจพยุงเศรษฐกิจรับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ที่หนังสือพิมพ์ทุกฉบับพาดหัวว่า จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนถึง 4 แสนล้านบาท

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมาตรการที่ผ่าน ครม.เศรษฐกิจมาแล้ว ยกเว้นมาตรการแจกเงินหัวละ 2,000 บาท ที่ท่านนายกฯ ท่านขอให้ระงับไว้ก่อน

ผมเห็นด้วยกับมาตรการเหล่านี้อยู่แล้ว ตั้งแต่ผ่าน ครม.เศรษฐกิจ และไม่เห็นด้วยอยู่มาตรการเดียวคือ แจกเงิน

ดังนั้นเมื่อมติ ครม. ออกมาให้ดำเนินการเกือบทั้งหมด ยกเว้นเรื่องแจกเงิน ผมก็ขอขอบคุณท่านนายกฯ ที่เชื่อฟังเสียงทักท้วงจากประชาชน

จากนี้ไปก็เตรียมตัวที่จะดำเนินการตามมาตรการในแพ็กเกจ ซึ่งผมขออนุญาตไม่ลงในรายละเอียด นอกจากจะนั่งให้กำลังใจอยู่ตรงนี้

ขอให้ทุกมาตรการจงประสบผลสำเร็จ สามารถช่วยพยุงและช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย ซึ่งความจริงก็เหนื่อยอยู่แล้ว กลับต้องมาเหนื่อยหนักเพราะไวรัสสายพันธุ์ใหม่…ให้กระเตื้องขึ้นมาได้สมดังวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่ตั้งไว้ทุกประการ

ต้องยอมรับว่าไม่ใช่งานง่ายๆ ของรัฐบาลไทยอย่างแน่นอน เพราะสถานการณ์อันเลวร้ายนี้ได้เกิดขึ้นเกือบทั่วโลก

เขย่าและสั่นคลอนประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจทุกประเทศโดยเฉพาะ 2 ยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯ และจีน

สหรัฐฯ กับจีนต่างก็ทำสงครามการค้ากันมาอย่างโชกโชน และเหน็ดเหนื่อยด้วยกันทั้งคู่ แม้ในภาพรวมจีนจะเหนื่อยกว่าเพราะวัดได้จากภาวะเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวลงอย่างมาก ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ กลับดูดีกว่า โดยเฉพาะการจ้างงานของสหรัฐฯเข้มแข็งมากในช่วงหลังๆ

แต่กระนั้นก็ใช่ว่าจะสรุปได้ว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ชนะสงครามการค้า เพราะยังมีอีกหลายๆ จุดที่ยังเปราะบางที่จะต้องติดตามดูผลอย่างใกล้ชิด

ดังนั้นเมื่อเกิดสถานการณ์โควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม จีนในฐานะเป็นต้นกำเนิดของไวรัสมหาภัยตัวนี้จึงเหนื่อยมากและทรุดลงไปอีก

ในขณะที่สหรัฐฯ แม้ไวรัสจะระบาดไปถึงในภายหลัง และจริงๆ แล้ว ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตก็เทียบไม่ได้กับจีน แต่กลับมีความตื่นตระหนกมากกว่า เห็นได้จากตลาดหุ้นที่ทรุดฮวบลงอย่างน่ากลัว นับตั้งแต่มีข่าวคนอเมริกันติดเชื้อเป็นคนแรก และเริ่มมีผู้เสียชีวิตในช่วงเวลาต่อมา

เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจรุนแรงตามมาอย่างคาดไม่ถึง

ส่วนประเทศยุโรปอื่นๆ โดยเฉพาะอิตาลีก็เจอเข้าไปอย่างจังถึงขั้นปิดประเทศและอิตาลีก็เป็นประเทศหนึ่งที่พึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยวสูงมากคิดดูก็แล้วกันว่าจะเสียหายหนักขนาดไหน

ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อังกฤษ เดี๋ยวก็ตามมาแน่ๆ เพราะผู้ติดเชื้อมากขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าจะต้องได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในเร็วๆ นี้

ครับ! ยกตัวอย่างเพียงเท่านี้ก็จะเห็นชัดแล้วว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมซึ่งคาดว่าจะแย่อยู่แล้วนั้นก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก หลังการระบาดของไวรัสอันจะมีผลให้การค้าโลกหดตัวลงไปอีก ในขณะที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกก็จะลดวูบติดต่อกันไปอย่างน้อยก็ใน 6 เดือนข้างหน้า

ถ้าเศรษฐกิจของเราจะฟื้นตัวให้ได้เร็วก็จะต้องส่งออกดี และจะต้องมีคนมาเที่ยวเยอะๆ…ซึ่งมองดูแล้วคงจะเป็นไปได้ยาก

ผมถึงได้บอกว่างานของรัฐบาลไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รวมทั้งมาตรการหรือแพ็กเกจที่ออกมาแม้จะดีแต่ก็อาจไม่พอเพียง คงต้องมีก๊อก 2 ก๊อก 3 ตามมาอีก ซึ่งก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงประเด็น “สงครามนํ้ามัน” ที่สู้กันอย่างดุเดือด โดยไม่คาดฝัน ล่าสุดระหว่างซาอุฯ กับรัสเซียเลยครับ เพราะเนื้อที่ไม่พอซะแล้ว

เอาเป็นว่าแค่ปัญหาดั้งเดิมบวกกับปัญหาไวรัสวายร้ายก็หนักหนาสาหัสพออยู่แล้ว…ดังที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น

แต่ครั้นหันมาดูรัฐบาลก็รู้สึกห่วงใย เพราะช่วงนี้พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก คนของรัฐบาลไปมีเรื่องอื้อฉาวจนสังคมไทยวิจารณ์หึ่ง จริงหรือเท็จก็ช่างเหอะ แต่ศรัทธาจากสังคมไทยดูจะหายไปเยอะ

ก็นึกถึงเวลาทีมฟุตบอลจะลงสนาม…ต้องการเสียงเชียร์จากคนดูฉันใด…ทีมรัฐบาลไทยก็คงอยากได้เสียงเชียร์จากคนไทยจะได้มีกำลังใจลงไปเตะบอลเอาชนะศึกเศรษฐกิจได้ฉันนั้น

ขณะนี้ตัวผู้เล่นบางตัว กองเชียร์ไม่ไว้ใจซะแล้ว ก็น่าจะเปลี่ยนตัวออกไปซะก่อน แล้วจัดหาตัวใหม่ที่สังคมยอมรับเข้ามาแทน

ขืนใช้ผู้เล่นชุดเดิมต่อไปในท่ามกลางเสียงโห่อื้ออึงอย่างนี้ จะไปเตะชนะใครเขาได้ล่ะครับ.

“ซูม”