จากใจ “โอตะ” ส.ว. ถึงน้อง “เฌอปราง”

ผมจำได้ว่าสมัยที่ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ยังมีชีวิตอยู่ และยังเขียนคอลัมน์หน้า 5 ของท่านในหนังสือพิมพ์สยามรัฐ ทั้งๆ ที่อายุอานามท่านเกิน 70 ปีไปมากแล้ว จัดว่าเป็นคนแก่หรือผู้เฒ่าแล้วว่าอย่างนั้นเถิด

ท่านเคยคุยกับพวกเราที่ถามท่านว่า อาจารย์มีวิธีการอย่างไรถึงได้เขียนหนังสือออกมาหนุ่มเหลือเกินราวกับคนอายุ 30-40 ปี

ท่านตอบว่า ร่างกายเราแก่ก็จริง แต่ใจเราจะแก่ตามไม่ได้ ต้องทำใจให้หนุ่มไว้ แล้วก็ติดตามดูว่าคนหนุ่มคนสาวยุคนี้เขาคิดอะไร?

ทำอะไรกันอยู่? เขาฮิตเพลงอะไรหรือคุยเรื่องอะไรกันบ้าง? ฯลฯ

จะโชคดีหรือโชคร้ายของผมก็ไม่รู้ ที่ยังมีโอกาสได้เขียนหนังสืออยู่จนถึงวันนี้ ซึ่งอายุอานามเท่าๆ กับท่านอาจารย์ในยุคโน้นเข้าไปแล้วละ

ด้วยความที่อยากจะเขียนหนังสือให้ทันสมัยแบบท่านบ้าง ผมจึงต้องหัดฟังเพลงวัยรุ่น อ่านหนังสือวัยรุ่น ติดตามความเคลื่อนไหวของคนรุ่นหนุ่มสาวอยู่เป็นประจำ ดังที่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์แนะนำไว้

ทำให้ผมพอรู้ว่าวงเกิร์ลกรุ๊ป BNK48 เป็นใครมาจากไหน? เพลงที่ดังมากของพวกเธอคือ “ฟอร์จูนคุกกี้” หรือ “คุกกี้เสี่ยงทาย” นั้นมีที่มาอย่างไร มีเนื้อร้องและท่วงทำนองอย่างไร? (และเต้นอย่างไร?)

โชคดีที่บ้านผมอยู่ใกล้ เดอะมอลล์ บางกะปิ ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งโรงละครของพวกเธอที่เรียกกันว่า BNK48 Campus มีร้านอาหารของพวกเธอด้วย แถมนานๆ ครั้งจะมีสมาชิกของวงมาปรากฏตัวบ้าง

ทำให้ผมกลายเป็นคนแก่ที่ดูเหมือนว่าใกล้ชิดกับวงนี้พอสมควร และแอบเป็น “โอตะ” หรือแฟนคลับของเธอไปด้วย เพียงแต่ไม่ถึงขั้นที่จะเป็นโอตะขนานแท้ที่ไปรอคิวข้ามคืนข้ามวัน เพื่อจะจ่ายเงินแลกกับ การจับมือเธอเท่านั้นเอง

จากการเป็นโอตะระยะห่างๆ นี่เอง ทำให้ผมทราบถึงความเป็นมาของน้อง เฌอปราง อารีย์กุล หัวหน้ากลุ่ม BNK48 อยู่บ้าง

ทราบว่าน้องเป็นนักศึกษาภาควิชาวิทยาศาสตร์ วิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล นอกจากสวยน่ารักแล้วก็ยังเรียนเก่งอีกด้วย

แล้ววันหนึ่งผมก็ทราบว่า เธอจะมาร่วมรายการประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล “เดินหน้าประเทศไทย” ช่วงวันเสาร์ที่มีการปรับปรุงขึ้นเป็นพิเศษ เชื้อเชิญดาราดังๆ มาเป็นพิธีกรร่วม

ปรากฏว่า ดาราที่มาแล้วหลายคนเรียก “เรตติ้ง” ได้ถล่มทลาย…ผมเองก็เคยหยิบมาเขียนถึงในคอลัมน์นี้ และก็ติงไว้เหมือนกันว่าระวังจะโดนวิจารณ์นะดาราทั้งหลาย เพราะกำลังจะมีเลือกตั้งแล้ว ซึ่งรัฐบาลนี้ท่านก็จะส่งคนของท่านลงเลือกตั้งด้วย มีการตั้งพรรคการเมืองด้วย อาจจะโดนคู่ต่อสู้ทางการเมืองถล่มเอา

แต่เท่าที่ผมติดตามดู รายการและเนื้อหาที่ออกอากาศส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องดีๆ มีประโยชน์แก่ประชาชน แม้จะเป็นการประชาสัมพันธ์ให้รัฐบาลบ้าง เราคงต้องยอมละครับ เพราะประชาชนได้ประโยชน์

ในที่สุดประเด็นที่ผมเป็นห่วงก็เกิดขึ้นจริงๆ คนที่โดนหนักมาก กลายเป็นน้อง เฌอปราง นี่เอง โดนตั้งแต่มีข่าวว่าจะไปออกรายการ ยังไม่ทันดูเนื้อหารายการด้วยซํ้า

ผู้วิจารณ์หนักๆ 2 ท่านเป็นนักการเมืองที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศใช้ถ้อยคำแรงๆ จนโอตะผู้เฒ่าอย่างผมอดสงสารน้องเฌอปรางเสียมิได้

ยิ่งมาได้ดูรายการที่เธอออกอากาศเมื่อวันเสาร์ที่แล้วก็ยิ่งสงสารหนัก เพราะน้องเฌอปรางไปเยือนโรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ขาดแคลนครู แต่ไม่ยอมแพ้ในโชคชะตา หันมาใช้ระบบการ ศึกษาทางไกล จากโรงเรียนวังไกลกังวลที่ในหลวง ร.9 ทรงริเริ่มไว้

ขณะเดียวกันก็ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตที่ระดมติวเตอร์ชั้นนำมาช่วยติวให้ฟรีๆ ที่เรียกว่า “ติวฟรีดอทคอม” โรงเรียนไหนมีอินเตอร์เน็ตก็เปิดได้

เป็นโครงการที่รัฐบาลนี้ท่านตั้งใจทำเพื่อลดช่องว่างทางการศึกษา ซึ่งโดยส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีโครงการหนึ่ง

อะไรดีก็ต้องว่าดี ต้องชมเขาบ้าง จะไปด่าเขาตะพึดตะพือก็คงไม่ถูก ผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลนี้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการลงทุน ใหญ่ต่างๆ พวกรถไฟความเร็วสูงต่างๆ ที่ผมเขียนท้วงติงมาตลอด

แต่เรื่องนี้ผมว่าดีและขอให้เดินหน้าต่อไป

ต้องขอขอบคุณน้องเฌอปรางที่มาช่วยเป็นพิธีกรให้ ทำให้บรรยากาศการสัมภาษณ์ การแนะนำโรงเรียนเป็นไปอย่างน่ารัก

ในนามของ “โอตะ ส.ว.” ขอให้กำลังใจน้องเฌอปรางไว้ ณ ที่นี้ …งวดหน้าจะมาแนะนำเรื่องอะไรอีกหรือเปล่า? ถ้ามีโอกาสก็มาอีกนะครับ…ใครไม่ดูก็ช่าง แต่ “ปู่ซูม” อยากดูจ้า.

“ซูม”