รีวิว…”โฮมสเตย์” 8/10 กับอีกหนึ่งความกล้าที่ gdh ท้าให้ทุกคนไปดู

“โฮมสเตย์” เป็นภาพยนตร์ที่ได้แรงบันดาลใจจากนวนิยายญี่ปุ่นเรื่อง “เมื่อสวรรค์ให้รางวัลผม” (Colorful) โดย “เอโตะ โมริ” ที่เรื่องราวในภาพยนตร์กำลังบอกทุกคนว่า ถ้าเรามีโอกาสกลับมาใช้ชีวิตอีกครั้งในร่างชั่วคราวคุณจะจัดการกับชีวิตใหม่ของคุณได้อย่างไร

เป็นคอนเซ็ปที่อาจจะฟังดูง่าย แต่สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังเล่า มันไม่ง่ายเลยจริงๆ เพราะการใช้ชีวิตในโลกของความเป็นจริงมันซับซ้อนและเต็มไปด้วยปมปัญหามากมาย ดังนั้นการที่ได้ชีวิตใหม่ในร่างชั่วคราวนั้น จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้มันต้องก้าวข้ามผ่านอุปสรรคมากมาย

เรื่องราวในภาพยนตร์ถูกเล่าได้อย่างสมบูรณ์ ตัวละครแต่ละตัวมีมิติ มีความรู้สึกที่ส่งถึงจิตใต้สำนึกของคนดูได้อย่างดีเยี่ยม บวกกับซีจีที่ออกแบบอย่างทันสมัยมีมุมมองของคนรุ่นใหม่ผสมอยู่ในทุกอนูของแต่ละฉากได้อย่างลงตัว มันจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนที่ดูจะเข้าใจและลุ้นไปกับการตามหาปริศนาการตายของมินพระเอกของเรื่องในทุกวินาที

แต่ในความใหม่ของการตัดต่อทำให้ในบางจุดอาจจะดูช้าและไม่ทันใจ แต่พอถึงจุดที่ตัวละครจะคลี่คลายปม ก็สามารถเล่าเรื่องออกมาได้ดีและมีจุดจบที่สอนการใช้ชีวิตได้อย่างไม่มีข้อติ

ในการดูภาพยนตร์เรื่องนี้สำหรับคนที่เป็นโอตะ ของ “เฌอปราง bnk48” อาจจะหนักใจ จนอาจจะต้องใช้วิชาแยกร่างเป็น 2 ร่างชั่วคราวสำหรับการรับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ 

ร่างที่หนึ่งคือ ร่างของผู้ชมภาพยนตร์ที่ดีที่เดินไปตามปัญหาของตัวละครที่บทภาพยนตร์ได้กำกับไว้ หรือร่างที่ 2 ร่างของโอตะที่รักเฌอปรางอย่างสุดหัวใจ

ถ้าคุณเลือกที่จะใช้ร่างแรกในการชม คุณอาจจะพบกับความงดงามที่ซ่อนอยู่ในหนัง แต่ถ้าคุณเลือกร่างที่ 2 ในการชม คุณอาจจะโกรธและไม่พอใจในความคิดของทีมงานเลยก็เป็นได้ แต่สุดท้ายแล้ว นักแสดงก็คือร่างชั่วคราวของตัวละครตัวนั้น ถูกบทกำหนดให้เป็นไป ที่ถึงแม้คนดูที่ใช้ร่างที่สองดูยังไงไม่สามารถทำอะไรได้ สุดท้ายก็ต้องยอมรับไปในที่สุด

“โฮมสเตย์” คือภาพยนตร์ที่บอกให้ทุกชีวิตยอมรับความจริงในสิ่งที่เกิดในปัจจุบัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้าเราใช้สติในการใช้ชีวิต เราก็จะมีชีวิตอยู่ในร่างชั่วคราวของเรานี้ได้อย่างมีความสุข

ส่วนคะแนนของ โฮมสเตย์ จะได้เท่าไหร่นั้น ก็อยู่ที่ว่าคุณจะใช้ร่างไหนเป็นคนตัดสิน สำหรับผมขอใช้ร่างที่เป็นกลางแบบไม่เข้าใครออกใครให้คะแนนหนังเรื่องนี้ 8/10 เพราะมีทั้งส่วนที่ดี ส่วนที่ต้องปรับปรุง และส่วนที่เห็นใจโอตะของน้องเฌอปราง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ยังคงเป็นหนังไทยคุณภาพเรื่องหนึ่งของ GDH ที่ดูแล้วไม่เสียดายตังค์

SAME SAME BUT DIFFERENT