“มหาปิติ” จาก “มหาชน” ส่งเสด็จฯ พระบรมธาตุ

เมื่อวานนี้ (อังคารที่ 19 มีนาคม 2567) ถือเป็นวันส่งเสด็จฯ พระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระอรหันตธาตุ ของพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ พระบรมสาวก คืนสู่ประเทศอินเดีย

ตามกำหนดการที่เตรียมล่วงหน้าไว้นั้น ระบุว่าเวลา 09.45 น. ของวันที่ 19 มี.ค. คณะเจ้าหน้าที่ภัณฑารักษ์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติอินเดีย จะเดินทางไปถึงวัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุ จากห้องมั่นคงขึ้นสู่ขบวนรถเคลื่อนไปยังสนามบินนานาชาติกระบี่

เมื่อไปถึงแล้ว จะมีพิธีเจริญชัยมงคลคาถาที่ห้องรับรอง 3 เมื่อจบพิธีแล้วจะอัญเชิญจากบริเวณประตู 7 ชั้น 3 อาคารผู้โดยสารไปยังเครื่องบินของกองทัพอากาศอินเดีย เพื่ออัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุกลับคืนสู่พิพิธภัณฑสถานแห่งอินเดียและพุทธวิหารสาญจีต่อไป

เสร็จสิ้นภารกิจในการอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุมาให้พุทธศาสนิกชนชาวไทยกราบเคารพบูชาสักการะ เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567

กล่าวได้ว่า นับตั้งแต่อัญเชิญมาประเทศไทย และนำออกประดิษฐานชั่วคราวให้ประชาชนสักการะระหว่าง 23 ก.พ.-3 มี.ค. ณ ท้องสนามหลวง, 4-8 มี.ค. ณ หอคำหลวงอุทยานหลวงราชพฤกษ์เชียงใหม่, 9-13 มีนาคม 2567 วัดมหาวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี และ 14-18 มีนาคม ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล จังหวัดกระบี่ นั้น…มีพี่น้องประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติที่นับถือพุทธศาสนามาร่วมสักการะอย่างเนื่องแน่น

ตัวเลขประมาณล่าสุดจะเป็นเท่าใดคงต้องรอรายงานจากกระทรวงวัฒนธรรมอีกครั้งหนึ่ง แต่จากการประมาณอย่างคร่าวๆ ของผม โดยสรุปจากการรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์น่าจะไม่ตํ่ากว่า 2 ล้านคนขึ้นไป แน่นขนัดไปทุกสถานที่จากภาพและข่าวที่เราได้ดูได้อ่าน

ผมเองก็มีส่วนไปเวียนดอกไม้ธูปเทียน ณ ท้องสนามหลวงยังจำภาพพี่น้องประชาชนที่มาร่วมพิธีมืดฟ้ามัวดินได้จนถึงบัดนี้

ได้เห็นความเชื่อมั่น ความศรัทธาต่อพระพุทธองค์ ต่อพระบรมสาวก และต่อพระธรรมคำสอนที่ทรงเผยแผ่มากว่า 2567 ปี นับถึงปัจจุบัน

ผมไปตั้งแต่บ่าย 4 โมงแดดกำลังจ้าและตามประสาผู้อาวุโสที่ไม่กล้าสู้แดดจึงนั่งหลบอยู่ในเต็นท์ที่สร้างขึ้นโดยรอบไปพลางก่อน

นั่งดูพี่น้องประชาชนที่ไม่กลัวแดด เดินสวดมนต์เวียนดอกไม้ไปรอบๆ ด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา ก็เกิดความรู้สึกปลาบปลื้มยินดีและส่งใจเดินร่วมขบวนกับพี่น้องเหล่านั้นไปด้วย

ต่อเมื่อได้เวลา 1 ทุ่มตรง หลังจากผมได้เข้าร่วมในพิธีเจริญพุทธมนต์ตามคำเชิญของกระทรวงวัฒนธรรมและสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 เรียบร้อยแล้ว จึงได้เข้าร่วมในพิธีเดินเวียนรอบพระมณฑปด้วยตนเอง

เป็นประสบการณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์และความประทับใจที่จะจารึกอยู่ในความทรงจำของผมตลอดไปตราบนานเท่านาน

ผมเชื่อว่า พี่น้องประชาชนทั่วทั้ง 4 ภาคอีกนับล้านคนที่มีโอกาสไปสักการะก็คงจะมีความรู้สึกในทำนองเดียวกัน

นับเป็นปรากฏการณ์แห่งบุญและศรัทธาครั้งใหญ่ที่พี่น้องชาวไทยร่วมกันจารึกประวัติศาสตร์ครั้งนี้ขึ้นทั่วทั้ง 4 ภาค ทั่วประเทศ

มีการพูดกันว่า ในขณะที่บรรยากาศของบ้านเรากำลังอบอวลไปด้วยบุญนั้น–ขณะเดียวกันก็มีบรรยากาศทาง “การเมือง” ซึ่งก็คงไม่ถือเป็นเรื่อง “บาป” หรอก แต่จะเป็น “ความทุกข์” เกิดขึ้นในอนาคตอันไม่นานนี้

แถมเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่จะเป็นชนวนแห่งความทุกข์ ก็ไปเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นจุดหนึ่งที่องค์พระบรมธาตุและพระอรหันตธาตุได้เสด็จไปประดิษฐานเสียด้วยซี

ก็เอาน่าผมยังเชื่อในพระบารมีแห่งธรรมะและความศรัทธา จะช่วยดับทุกข์ทั้งหลายที่อาจจะเกิดขึ้นลงได้อย่างแน่นอน

ขอพวกเราอย่าไปสนใจกับเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นข่าวหน้า 1 ในช่วงนี้เลยครับ หันมาสงบใจ ตั้งสติมั่น สวดมนต์ส่งเสด็จฯ พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุกันดีกว่า

ขอขอบคุณอีกครั้งสำหรับรัฐบาลอินเดีย รัฐบาลไทย โดยกระทรวงวัฒนธรรมและสถาบันโพธิคยาวิชชาลัย 980 ที่ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างปรากฏการณ์อันมหัศจรรย์ครั้งนี้ขึ้น สาธุ! สาธุ! สาธุ! อนุโมทนามิครับ.

“ซูม”