เขาชื่อ “โจโก วิโดโด” ผู้ปลุก “ยักษ์หลับ” อินโดนีเซีย

ใครจะมาเป็นประธานาธิบดีคนที่ 8 ของอินโดนีเซีย ประเทศที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน ยังต้องลุ้นและรอผลการเลือกตั้งในวันวาเลนไทน์ 14 กุมภาพันธ์ ดังที่คอลัมน์นี้บอกเล่าไว้เมื่อวานนี้

แต่ที่แน่ๆ ประธานาธิบดีแห่งแดนอิเหนาคนที่ 7 โจโก วิโดโด จะต้องลงจากตำแหน่งในเดือนตุลาคมปีนี้แน่นอน เพราะจะครบ 2 เทอม 10 ปี ไม่มีสิทธิต่อตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันของอินโดนีเซีย

ผลการสำรวจของโพลที่มีชื่อเสียงในอินโดนีเซียเมื่อปลายปีที่แล้ว ระบุว่า ประชาชนที่เป็นตัวอย่างของการสำรวจถึงร้อยละ 81.6 ตอบว่าพอใจในผลงานของโจโกวีตั้งแต่พอใจธรรมดาๆ ไปจนถึงพอใจอย่างยิ่ง

มีเพียงส่วนน้อยคือ 17.4 เปอร์เซ็นต์ ที่ตอบว่าไม่พอใจ

แน่นอนความพอใจอันดับ 1 ของประชาชนที่มีต่อเขาก็คือ การฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนขั้นพื้นฐานที่ผมรายงานไปบ้างแล้ว เช่น การก่อสร้างสนามบิน ท่าเรือ โรงไฟฟ้า เขื่อน ถนน ฯลฯ

แม้จะโดนโควิด-19 น็อกจนเศรษฐกิจติดลบไปถึง 2% แต่โจโกวี ก็กลับมาฟื้นฟูจนกลับคืนสู่ความเติบโต ร้อยละ 5 ต่อปีอีกครั้ง

โครงการระดับ “อภิมหาโปรเจกต์” ว่าด้วยการย้ายเมืองหลวงจากจาการ์ตา ที่อยู่ในเกาะชวาไปสู่เมือง นูซันตารา ของเกาะบอร์เนียว ซึ่งต้องการการลงทุนอย่างมหาศาล แม้จะเพิ่งเริ่มต้นแต่โดนใจประชาชนที่รู้สึกแน่นและแออัดในเมืองหลวงเก่า…ที่มีประชากรกว่า 10 ล้านคน

ไม่เพียงความโดดเด่นด้านฟื้นฟูเศรษฐกิจเท่านั้น โจโกวียังโดดเด่นในเรื่องของการใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดอีกด้วย โดยเฉพาะการลงโทษเด็ดขาดแก่ผู้ค้ายาเสพติด ดังเช่นกรณีของชาวออสเตรเลีย แต่มาถูกจับ ที่เกาะบาหลี เพราะขนเฮโรอีนมาถึง 8 กิโลกรัม

ศาลลงโทษประหารหัวหน้าแก๊งรายนี้ และประธานาธิบดีโจโกวี ก็ยืนยันเห็นด้วยกับศาลให้ประหาร แม้จะมีอำนาจยับยั้ง และได้รับการร้องขอจากนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลียแล้วก็ตาม

ความเข้มแข็งเอาจริงเอาจังของเขาในเรื่องยาเสพติด เคยทำให้อินโดนีเซียกระทบกระทั่งกับบราซิลอย่างแรง ถึงขั้นรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศต่างเรียกทูตตนเองกลับบ้าน…นั่นก็มาจากการไม่ยอมลดโทษประหารให้แก่ผู้กระทำผิดด้านค้ายาเสพติด ชาวบราซิลที่ถูกจับได้ในอินโดนีเซีย

ยังมีอีกหลายๆ เรื่องหลายๆ ประเด็นที่ โจโกวี โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะการได้รับการยอมรับในเวทีระดับโลกหลายๆ เวที รวมทั้งในระดับประเทศของตัวเองในแง่ความติดดินและซื่อสัตย์สุจริต

การนั่งเครื่องบินชั้นประหยัดไปงานฉลองลูกชายที่จบจากโรงเรียนมัธยมที่สิงคโปร์ เคยเป็นข่าวใหญ่มาแล้ว เพราะเป็นการไปส่วนตัว ใช้เงินส่วนตัว เขาจึงต้องใช้อย่างประหยัด นั่งชั้นอีโคโนมี่ไปดังกล่าว

เพิ่งจะหลังสุดนี่แหละที่เขาส่งลูกชายคนโตวัย 36 ปีของเขา ลงสมัคร เป็นรองประธานาธิบดีคู่กับอดีตนายพล ปราโบโว ซูเบียนโต ที่ผมเขียนถึงวานนี้ ซึ่งต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าสมัครได้หรือไม่ เพราะอายุยังไม่ถึง 40 ปี ตามรัฐธรรมนูญระบุไว้

ปรากฏว่าศาลรัฐธรรมนูญโหวตแบบไม่เอกฉันท์ให้งดเว้นสำหรับนายกิ้บราน ราบาบูมิ่ง ลูกชายคนโตของเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองสุราการ์ตา…ทำให้สามารถลงสมัครเป็นรองประธานาธิบดีคู่กับ “ป้ะ” ปราโบโว ได้ในที่สุด

เรียกเสียงวิจารณ์ได้อื้ออึงว่าเขาใช้อิทธิพลเพื่อจะสร้างผู้รับมรดก ทางการเมืองคือลูกชายของเขาหรือเปล่า?

แต่ก็มีบางเสียงบอกเอาน่าไปคู่กับทหารเก่าจะได้ช่วยรั้งๆ เอาไว้ไม่ให้ประเทศกลับไปสู่ระบบฟอนเฟะด้วยคอร์รัปชันเหมือนเดิม และเป็น การการันตีว่าโครงการเด่นๆ ของวิโดโดจะได้รับการสานต่อ…ต่อไป

นี่คือบางส่วนของผลงานและการวางตนตลอดจนการใช้ชีวิตของประธานาธิบดี ที่มาจากลูกพ่อค้าธรรมดาๆ แต่ประสบความสำเร็จอย่างสูงยิ่ง จนเป็นขวัญใจของชาวอิเหนาที่กำลังจะจากไปในเดือนตุลาคมนี้ ที่ผู้คนที่โน่นรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง

ผมฟังเรื่องเล่าเหล่านี้แล้วก็รู้สึกเสียดายเหมือนกันครับ เสียดายว่าไทยแลนด์แดนสยามของตู…ทำไมไม่มีผู้นำแบบนี้บ้างเฟ้ย!

(นานๆ ขออนุญาตใช้ถ้อยคำที่ไม่ค่อยสุภาพ ปรับทุกข์กับท่าน ผู้อ่านสักทีคงไม่ว่ากันนะครับ)

“ซูม”

เขาชื่อ “โจโก วิโดโด” ผู้ปลุก “ยักษ์หลับ” อินโดนีเซีย,, ประธานาธิบดี, เลือกตั้ง, ข่าว, ต่างประเทศ, ซูมซอกแซก, เศรษฐกิจ, ปัญหา, คอร์รัปชัน,