เมื่อวันเสาร์ที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา หลังจากศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดทางเชื่อมเข้าออกเซ็นทรัล วิลเลจ ซึ่งเป็น “ลักชัวรี เอาต์เลต” แห่งแรกของประเทศไทย ทำให้เอาต์เลตแห่งนี้สามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดเดิมที่ประกาศไว้
ปรากฏว่ามีประชาชนแห่แหนกันไปใช้บริการตลอดวันแรกกว่า 20,000 คน แน่นขนัดตั้งแต่เช้ายันค่ำ
รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันอาทิตย์ยิ่งแน่นขึ้นไปอีกจนเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะให้มีลูกค้าหมุนเวียนไปใช้บริการวันละ 17,000 คนอย่างท่วมท้น
ผมไม่แน่ใจว่าผู้คนจำนวนมากมายจน “ทะลุเป้า” เหล่านี้เป็นลูกค้านักช็อปตัวจริงหรือไม่? เพราะในช่วงหลังๆ นี้มักมีคนไทยเรากลุ่มใหญ่พอสมควรชอบไปหาที่เที่ยวใหม่ๆอยู่เสมอๆ
พอมีการสร้างสถานที่ใหม่ๆ หรือห้างสรรพสินค้าใหม่ก็จะแห่ไปเที่ยวอยู่ระยะหนึ่ง และส่วนใหญ่ก็จะไปดูไปเที่ยวเฉยๆ ไม่ได้ช็อปอะไรกะเขาหรอก อย่างเก่งก็แค่อุดหนุนร้านอาหาร หรือกินอาหารในฟู้ด คอร์ต เท่านั้น
พอนานๆ ไป ผู้คนเหล่านี้ก็จะไปหาไปดูของใหม่อื่นๆ ทำให้ศูนย์การค้าหรือห้างเก่าๆ ผู้คนลดน้อยลง แทบจะขายสินค้าอะไรไม่ได้เลย
ในขณะเดียวกัน สำหรับการเปิด “เซ็นทรัล วิลเลจ” นั้นนอกจากจะได้ลูกค้าประเภทชอบไปดูของใหม่อย่างว่านี้แล้ว ก็อาจจะได้ลูกค้าพิเศษที่ชอบดูคนทะเลาะกันที่ตามแห่มาดูว่าเพราะเหตุใด บริษัทท่าอากาศยานฯ ถึงได้ออกมากล่าวหาเอาต์เลตแห่งนี้ในหลายๆ เรื่อง
กลายเป็นข่าวใหญ่อยู่หลายวันชนิดเกือบเปิดไม่ได้ตามกำหนด หากมิได้บารมีของศาลปกครองมาคุ้มครองชั่วคราวดังกล่าว
คนไทยที่ชอบดูคนทะเลาะกันซึ่งก็มีอยู่มาก อาจจะชวนกันไปเที่ยววันเปิดเซ็นทรัล วิลเลจ ด้วยเหตุนี้ก็เป็นได้
แต่จะด้วยเหตุผลใดก็แล้วแต่เถอะ การที่วันเปิดร้านใดร้านหนึ่งมีคนมาร่วมงานเนืองแน่นก็ต้องถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีหรือเป็นฤกษ์ที่ดีของร้านนั้นๆ…ดีกว่าเปิดร้านแล้วไม่มีคนมาเลยอย่างแน่นอน
กล่าวกันว่า “ลักชัวรี เอาต์เลต” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิแห่งนี้ มีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร เมื่อเปิดครบจะมีร้านค้ากว่า 150 ร้าน หรือ 150 แบรนด์เลยทีเดียว
หนึ่งในผู้บริหารเซ็นทรัล คุณ วัลยา จิราธิวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ว่า เซ็นทรัล วิลเลจ จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ทางด้านท่องเที่ยวให้สามารถแข่งกับประเทศทั่วโลกได้อย่างเข้มแข็งขึ้นไปอีก และจะกลายเป็นแม่เหล็กในการดึงดูดและเพิ่มความถี่ให้นักช็อปช่วงวันหยุดจากประเทศใกล้เคียงในเอเชีย รวมทั้งจีนด้วย บินมาช็อปบ้านเรามากขึ้น
ขณะเดียวกัน ทางเซ็นทรัลก็หวังว่าเอาต์เลตแห่งนี้จะช่วยเปลี่ยนพฤติกรรมคนไทยที่ชอบไปช็อปเมืองนอกให้มาช็อปในเอาต์เลตของเซ็นทรัลแทน เพราะจะขายในราคาเดียวกับ “ต่างประเทศ” สามารถจะมาซื้อได้เลย โดยไม่ต้องไปต่างประเทศ จะทำให้ลดยอดเงินที่สูญเสียไปจากการช็อปปิ้งต่างประเทศได้จำนวนหนึ่ง
ในฐานะที่คอลัมน์นี้เคยเขียนให้กำลังใจนักลงทุนที่พร้อมจะลงทุนในโครงการใหม่ๆ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านการท่องเที่ยวอยู่เสมอๆ
ไม่ว่าจะเป็นของกลุ่ม “เดอะมอลล์” กลุ่ม “สยามพิวรรธน์” หรือแม้แต่กลุ่ม “เซ็นทรัล” เอง ผมก็เคยเขียนให้ในการเปิดโครงการใหม่ๆ มาหลายครั้ง พร้อมกับอวยชัยให้พรขอให้ประสบความสำเร็จในทุกๆ กลุ่ม
เพราะถ้านักลงทุนเหล่านี้ประสบความ “สำเร็จ” ประเทศไทยโดยรวมของเรา ก็จะประสบความสำเร็จด้วย ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวจีดีพีเพิ่มสูงขึ้น คนไทยมีรายได้และมีงานทำมากขึ้น ฯลฯ
ในทางตรงข้ามถ้าโครงการ “ล้มเหลว” ประเทศไทยเราก็จะเกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัว รายได้ลดลง คนตกงานมากขึ้น ฯลฯ
ผมจึงเขียนให้กำลังใจในการลงทุนใหม่ๆ ของทุกกลุ่มมาโดยตลอด ยิ่งในช่วงนี้ภาวะเศรษฐกิจของโลกน่าห่วงมาก ความกล้าหาญของกลุ่มเซ็นทรัลที่ทุ่มทุนถึง 5,000 ล้านบาทสำหรับโครงการนี้ จึงเป็นเรื่องที่สมควรแก่การได้รับกำลังใจมากกว่าปกติธรรมดา
แต่ทั้งนี้ก็จะต้องเป็นไปตามกฎตามกติกาของบ้านเมืองด้วยนะครับ โดยเฉพาะตามที่ ทอท.ตั้งข้อกล่าวหาไว้หลายๆ เรื่อง ก็จะต้องพิสูจน์ให้กระจ่าง…และหากเซ็นทรัล วิลเลจ ผิดจริงก็จะต้องจัดการให้เรียบร้อย โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ทั้งสิ้นครับ.
“ซูม”