เมื่อ 2 วันที่ผ่านมานี้เอง มีข่าวที่ควรจะใหญ่มากในเชิงนโยบายการพัฒนาประเทศอยู่ข่าวหนึ่ง แต่หนังสือพิมพ์มักนำลงเป็นข่าวเล็กๆ และบางฉบับก็ไม่ได้นำลงเลยด้วยซ้ำ
นั่นก็คือข่าวที่ว่ารัฐบาลไทยพร้อมแล้วที่จะสนับสนุนให้ครอบครัวไทยมีลูกมากกว่า 1 คน จะมากกว่ากี่คนก็ได้ สามารถจะนำมาหักค่าลดหย่อนในการเสียภาษีรายได้ส่วนบุคคลถึงคนละ 3 หมื่นบาทเลยทีเดียว
โดยมีรายละเอียดอยู่ในพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 46) พ.ศ.2561 ลงตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อย และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน 2561 เป็นต้นไป
ท่านปลัดกระทรวงการคลัง ประสงค์ พูนธเนศ ท่านเปิดเผยกับนักข่าวเพิ่มเติมว่า เหตุผลที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรดังกล่าว ก็เพื่อสนับสนุนให้คนไทยมีบุตรมากขึ้น
เนื่องจากปัจจุบันนี้คนไทยมีลูกน้อยลง ส่งผลให้ประชากรวัยเด็กลดลงและทำให้ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ” ซึ่งหากปล่อยไว้จะกลายเป็นปัญหาสำหรับประเทศ ทำให้คนวัยแรงงานน้อยลง รัฐต้องแบกรับภาระดูแลคนสูงอายุจำนวนมาก
ที่ผมเห็นว่าข่าวนี้ควรจะเป็นข่าวใหญ่ก็เพราะมาตรการของรัฐบาลผ่านกระทรวงการคลังในครั้งนี้ ถือเป็นการก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงนโยบายที่สำคัญมากนโยบายหนึ่งของประเทศไทย
จากนโยบายลดอัตราการเพิ่มประชากรที่ประกาศใช้มาตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 2 (2510-2514) มาเป็นนโยบายเพิ่มอัตราการเพิ่มประชากร ซึ่งประกาศใช้ในแผนพัฒนาฉบับที่ 12 (2560-2564) และเริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ตามประกาศของประมวลรัษฎากรดังกล่าว
ผมเป็นคนที่อยู่ใน 2 ยุค 2 นโยบายที่ว่านี้พอดิบพอดี โดยเฉพาะนโยบายแรกคือลดอัตราเพิ่มประชากรนั้น ถ้าจะว่าไปผมเองก็มีส่วนในการปฏิบัติกับเขาด้วยแรงหนึ่ง
ช่วงนั้นเรากลัวกันมาก กลัวกันทั้งโลกเลยว่าประชากรจะล้นโลกแน่ๆ ถ้าปล่อยให้เกิดเยอะๆ แบบสมัยโน้น ทำให้ต้องมีโครงการชะลอการเกิด ซึ่งถ้าจำไม่ผิดผมคิดว่าองค์การอนามัยโลกจะเป็นต้นคิดในเรื่องนี้
บ้านเราช่วงเตรียมแผนพัฒนาฉบับที่ 2 (2510-2514) ก็กลัวกันมาก เพราะอัตราเพิ่มของเราขณะนั้นสูงถึงร้อยละ 4 ต่อปี มีคนคำนวณว่า ถ้าปล่อยไว้ประชากรไทยจะล้นประเทศ เมื่อนั่นเมื่อนี่
หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยกระทรวงสาธารณสุขเป็นแกนหลักควบคู่ไปกับองค์กรเอกชนที่มีคุณ มีชัย วีระไวทยะ ซึ่งลาออกจาก สภาพัฒน์ ไปรณรงค์เรื่องนี้ด้วยตนเอง มีการแจกถุงยางอนามัยสีประกายรุ้งจนโด่งดังไปทั่วประเทศ
ผมเองที่ว่ามีส่วนในเรื่องทำให้ประชากรลดก็เพราะไปเขียนเชียร์คุณมีชัยนี่แหละ เป็นคนคิดศัพท์สแลงคำว่า “มีชัย” ให้หมายถึงถุงยางอนามัย จนฮิตไปทั่วประเทศเช่นกัน
ใครจะไปนึกล่ะครับว่าเราจะทำกันอย่างได้ผล…อัตราเกิดของคนไทยลดฮวบลงจนผมไม่แน่ใจว่าล่าสุดเหลือเท่าไรแล้ว แต่มันน้อยอย่างน่าใจหายจนประเทศไทยต้องกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างที่ว่า
และที่สุดของที่สุด สภาพัฒน์ เจ้าเก่าอีกแหละครับ ที่ออกมาบอกเราว่าคนไทยเกิดน้อยลงแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้เริ่มกันใหม่ คือ เชิญชวนคนไทยรุ่นใหม่ให้หันมาปั๊มเพิ่มพลเมืองโดยเร็ว
มีมาตรการมากมาย รวมทั้งมาตรการลดหย่อนภาษีอากรดังกล่าว
จริงๆ แล้วก็ไม่มีใครต่อว่าต่อขานว่าสิ่งที่เราทำลงไปตั้งแต่แผน 2 คือ การลดการเพิ่มประชากรนั้นเป็นนโยบายที่ผิด เพราะสถานการณ์ในขณะนั้นถ้าไม่ทำอย่างนี้คนจะล้นประเทศไทยเอาจริงๆ
ผมเองที่เคยมีส่วนเขียนโน่นนี่จนอัตราเพิ่มประชากรลดแม้จะไม่มีความรู้สึกว่าตัวเองผิด แต่ก็อดตะขิดตะขวงใจไม่ได้ที่มีส่วนกับเขาบ้างเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ประเทศไทยมีปัญหาใหม่ในปัจจุบันนี้
วันนี้ก็เลยถือว่าเขียนไถ่บาปก็แล้วกันครับ…โดยขออนุญาตประกาศเห็นด้วยกับนโยบายใหม่ของรัฐบาล และขอเชิญลูกๆ หลานๆ รุ่นใหม่ช่วยกันผลิตประชากรเพิ่มโดยเร็วด้วยเทอญ
ใครที่แต่งงานวันนี้และส่งตัวเข้าหอในคืนนี้อย่าลืม “ปฏิบัติการ” ให้ประสบผลสำเร็จด้วยนะครับ และขอให้นึกถึงนโยบายใหม่ด้วย…เมื่อก่อนลูกมากจะยากจน แต่ยุคใหม่นี้ลูกมากจะพาประเทศไทยไปถึง 4.0 ได้นะจ๊ะ…ตีความตามที่รัฐบาลท่านแถลงไว้จ้า.
“ซูม”