เมื่อวานนี้ผมเขียนถึงนักเรียนที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาปีนี้ได้ที่ 1 และสื่อมวลชนต่างก็ตามไปสัมภาษณ์เกือบทุกแขนง ทำให้นึกถึงเพื่อนผมในอดีตคนหนึ่งที่เคยสอบได้ที่ 1 ตอนเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯเมื่อ 60 กว่าปีก่อนโน้น
เพื่อเชื่อมโยงไปถึงทฤษฎี “อัจฉริยะ” หรือความเก่งของมนุษย์ในด้านต่างๆ ที่ผมเชื่อว่าไม่มีวันจะเท่าเทียมกันได้…ตั้งแต่คนเรียนเก่ง คนวาดเขียนเก่ง คนเย็บปักถักร้อยเก่ง ไปจนถึงนักกีฬาเก่งๆ ฯลฯ
ผมเว้นไว้ในฐานที่เข้าใจว่า รวมไปถึงคนค้าขาย หรือนักธุรกิจด้วยที่ย่อมจะเก่งไม่เท่ากัน…ทำให้คนเก่งกว่ารวยมากกว่า และคนเก่งน้อยกว่าก็รวยน้อยกว่า หรือที่ไม่เก่งจริงก็ต้องขาดทุน เลิกกิจการไป
ด้วยทฤษฎีเช่นว่านี้ โลกเรานี้จึงเต็มไปด้วยความ “เหลื่อมลํ้า” เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียมกัน…ในทุกๆ ด้าน และความจริงก็ทุกๆ ประเทศด้วย แม้แต่ประเทศที่ได้ชื่อว่า เจริญที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา
มีคนพยายามคิดหาหนทางแก้ไขความเหลื่อมลํ้าต่างๆ นานาสารพัดตำรา สารพัดวิธี แต่ในที่สุดก็ยังเหลื่อมลํ้าอยู่ดี…
ผมเองเคยทำงานในภาครัฐเพื่อช่วยแก้ปัญหาความยากจนให้แก่คนไทยมาหลายปี ทำไปแล้วก็รู้สึกท้อเหมือนนักมวยที่ชกแพ้บ่อยๆก็อยากแขวนนวม…เพราะดูเหมือนว่ายิ่งช่วยเท่าไร? พัฒนาเท่าไร? คนไทยส่วนหนึ่งก็ยิ่งจนลงไป
ต่อมาเมื่อออกจากระบบราชการมาเขียนหนังสือเต็มตัวอยู่กับไทยรัฐ ออกมามองโลกมองเมืองไทยอีกมุมหนึ่งที่ไม่ใช่นักวิชาการไม่ใช่ข้าราชการอย่างที่ผมเคยเป็นอยู่ และขณะเดียวกันก็มีโอกาสเดินทางไปหลายประเทศ ได้พบได้เห็นได้เรียนรู้โลกกว้างมากขึ้น
แล้ววันหนึ่งผมก็มีโอกาสได้ติดตาม คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล ประธานของพวกเราชาวไทยรัฐ ไปกราบไหว้สังเวชนียสถาน (ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา และปรินิพพาน) ทั้ง 4 แห่ง ที่ประเทศอินเดีย
ปรากฏว่าที่พุทธคยาสถานที่ตรัสรู้นั้นเอง มีพระพุทธรูปอยู่องค์หนึ่งประดิษฐานอยู่ ณ มหาเจดีย์พุทธคยา เมืองคยา รัฐพิหาร ที่พุทธศาสนิกชนที่ไปกราบบูชาเรียกว่า “พระพุทธเมตตา”
ที่เรียกว่า “พระพุทธเมตตา” เพราะพระพักตร์ของพระพุทธรูปเปี่ยมล้นไปด้วยเมตตา…เมื่อเราเงยหน้ามองพระพักตร์ท่านนานๆ ก็จะรู้สึกซาบซึ้งและพลอยเกิดความเมตตาที่อยากจะเผยแผ่ไปสู่สรรพสัตว์ต่างๆ โดยรอบมากขึ้น…โดยเฉพาะสัตว์ประเสริฐที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ตั้งแต่นั้นมากว่า 20 ปีเข้านี้แล้ว ผมก็ตัดสินใจอัญเชิญพระพักตร์ของพระพุทธเมตตามาเป็นแนวทางในการเขียนหนังสือมากขึ้น
โดยเฉพาะในระหว่างที่นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักสารพัดศาสตร์อื่นๆ ยังคิดหาวิธีแก้ความเหลื่อมล้ำโดยตรงไม่ได้…ผมก็เสนอให้ใช้ทฤษฎี “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” ไปพลางๆ ก่อน
ขอให้คนที่รวยกว่าคนอื่นๆ โดยเฉพาะคนที่รวยมากๆ หันมาแบ่งปันหันมาช่วยเหลือเจือจานแก่คนที่จนกว่า หรือจนมากๆทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น
ถึงขนาดเคยเขียนถึงคนรวยระดับต้นๆ 10 คนแรก 20 คนแรกที่นิตยสารฟอร์บส์จัดอันดับไว้ให้ลุกขึ้นช่วยคนจนอย่างจริงจัง
นอกจากคนรวยจะต้องช่วยคนจนแล้ว คนเก่งก็จะต้องช่วยคนไม่เก่ง รวมทั้งคนมีความสามารถมากกว่าก็จะต้องไปช่วยคนความสามารถน้อยกว่าตามทฤษฎี “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” ดังกล่าว
เรื่อง “เด็กสอบเข้าเตรียมอุดมฯได้ที่ 1” ที่ผมเขียนเมื่อวานเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการแผ่เมตตาที่ผมอยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย
ผมมิได้หมายถึงโรงเรียนเตรียมอุดมฯ เท่านั้น เพราะปัจจุบันเรามีโรงเรียนเก่งๆ ดีๆ มากมาย ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด จึงขอฝากไปถึงลูกๆ หลานๆ ที่เรียนเก่งทั้งประเทศไว้ด้วยพร้อมๆ กัน ขอให้ตั้งใจเรียนและนำความเก่งของน้องๆ ไปช่วยประเทศชาติในอนาคต
อย่าหาว่าผมดูถูกดูหมิ่นทฤษฎีต่างๆ เลยครับ เพราะผมมองอย่างไรก็ไม่เห็นทางออกของการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำได้เลยในสถานการณ์อย่างทุกวันนี้ แต่เมื่อยังมีความพยายามคิดพยายามค้นหาวิธีการและยังพยายามดำเนินการแก้ไขกันอยู่…ผมก็ขอให้กำลังใจ
พร้อมกับเสนอทฤษฎีส่วนตัว “เมตตาธรรมค้ำจุนโลก” ตามรอยพระพุทธเมตตาแห่งพุทธคยา เสนอให้คนรวยช่วยคนจน, คนเก่งช่วยคนไม่เก่ง, คนแข็งแรงช่วยคนอ่อนแอ, คนรู้เยอะช่วยคนรู้น้อย ฯลฯ ไปพลางๆด้วยประการฉะนี้.
“ซูม”