ผ่านครึ่งปีแรกของพุทธศักราช 2566 ไปเรียบร้อยแล้วนะครับ และวันนี้วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม ถือเป็นวันแรกของการทำงานในช่วงครึ่งหลังของปี และก็เป็นวันฤกษ์ดีจะมี “รัฐพิธี” เปิดประชุมรัฐสภา เพื่อต้อนรับสมาชิกสภาผู้แทนชุดใหม่ควบคู่ไปด้วย
มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่ฉบับ พ.ศ.2475 แล้วครับว่า ให้มีรัฐพิธีเปิดประชุมสภาครั้งแรกดังกล่าวในมาตรา 30 และก็ได้ระบุไว้ในวรรคสองว่า “พิธีเปิดประชุมจะทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินมาทรงทำหรือจะโปรดเกล้าฯ ให้รัชทายาทที่บรรลุนิติภาวะแล้ว หรือนายกรัฐมนตรีกระทำพิธีแทนพระองค์ก็ได้”
สำหรับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 ฉบับที่เราใช้บริหารประเทศขณะนี้ บัญญัติไว้ในมาตรา 121 ว่า
“ภายในสิบห้าวันนับแต่วันประกาศผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันเป็นการเลือกตั้งทั่วไปให้มีการเรียกประชุมรัฐสภา เพื่อให้สมาชิกได้มาประชุมครั้งแรก
พร้อมทั้งบัญญัติในมาตรา 122 วรรคสองว่า “พระมหากษัตริย์จะเสด็จ พระราชดำเนินมาทรงทำรัฐพิธีเปิดประชุมสมัยประชุมสามัญประจำปีครั้งแรกด้วยพระองค์เอง หรือจะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระรัชทายาท ซึ่งทรงบรรลุนิติภาวะแล้วหรือผู้ใดผู้หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์มาทำรัฐพิธีก็ได้”
ซึ่งจากหมายกำหนดการที่เผยแพร่โดยรัฐสภา ระบุไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จะเสด็จ พระราชดำเนินไปทรงเปิดประชุมรัฐสภา ณ ห้องประชุมอาคารรัฐสภาในวันนี้ (3 กรกฎาคม 2566) เวลา 17.00 น.
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ ผมขอเรียนเชิญพี่น้องชาวไทยติดตามรับชมการถ่ายทอดสดรัฐพิธีอันสำคัญยิ่งครั้งนี้ทางโทรทัศน์กันด้วยนะครับ
ผมเองได้เขียนเปิดใจกับท่านผู้อ่าน ยอมรับความพ่ายแพ้ หลบไปรักษาแผลใจเลิกเขียนถึงเรื่องการบ้านการเมืองอยู่ 1 เดือนเต็มๆ นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้ง
เมื่อผลปรากฏว่าพรรคที่ผมไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลักๆ หลายข้อ โดยเฉพาะการที่ตั้งอกตั้งใจเหลือเกินที่จะแก้มาตรา 112 ของพรรคที่ว่านี้ ซึ่งคนที่อยู่เย็นเป็นสุข ตามสมควรแก่อัตภาพมาตั้งแต่เด็กจนแก่ภายใต้ร่มพระบารมีพระมหากษัตริย์ไทยเช่นผมยากจะยอมรับได้
ผมก็เขียนเป็นเชิงขอร้องท่านผู้อ่านว่าเลือกพรรคไหนก็เลือกไปเถิด ขอเพียงอย่าเลือกพรรคที่ว่านี้เท่านั้น เพราะจะนำไปสู่ความขัดแย้งของบ้านเมืองอย่างไม่มีสิ้นสุดในวันข้างหน้า
ผลกลับกลายเป็นว่าพรรคดังกล่าวกลับได้ ส.ส.มาเป็นที่ 1 ได้โอกาส เป็นแกนจัดตั้งรัฐบาลก่อน และมีโอกาสเสนอชื่อหัวหน้าพรรคขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนใครๆ ตามธรรมเนียมปฏิบัติหลังการเลือกตั้งอันเป็นที่นิยมทั่วโลก
ทำให้ผมต้องหลบไปตั้งสติและใช้เวลาปลงอยู่เป็นเวลานานพอสมควรด้วยประการฉะนี้
กลับมาเขียนถึงเรื่องการเปิดประชุมรัฐสภาวันนี้ก็พอจะกล่าวได้ว่า ผมปลงตกแล้วครับว่าอะไรจะเกิดก็ให้เกิดไปเถิด
เพราะนับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะมีการประชุมเพื่อเลือกประธาน สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะเป็นประธานรัฐสภาด้วยคงจะมีเหตุการณ์ทางการเมืองอันเข้มข้นเกิดขึ้นเรื่อยๆ
ใครจะได้เป็นประธานสภา? ใครจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี? เป็นเหตุการณ์ที่จะตามมา และล้วนแต่จะมีผลลัพธ์ไปในทางลบแก่บ้านเมืองในทุกๆ เรื่อง
ผมก็อยากจะฝากไว้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น? จะเป็นที่ถูกใจหรือไม่ถูกใจฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ตาม ผมก็ขอให้ทุกๆ ฝ่ายใช้ สติ ใช้ ปัญญา ในการแก้ปัญหาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ด้วยเถิด
อย่าใช้อารมณ์ อย่าใช้ความก้าวร้าว ความโกรธขึ้ง จนถึงขั้นเดินออกสู่ท้องถนน หรือกระทำการอื่นใดอันเป็นความรุนแรง และแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งและความไม่สงบของสังคมไทยเรา
สถานการณ์เศรษฐกิจของโลกยังน่าห่วงใยอยู่ และคงไม่ฟื้นกลับมาง่ายๆ อย่างที่หลายๆ คนหวัง
ลำพังเราอยู่เฉยๆไม่ทะเลาะกัน หรือรักใคร่กลมเกลียวกันก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นักที่จะฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น
ดังนั้น ถ้าหากยังทะเลาะเบาะแว้งกันอีก หรือยังคงใช้ “เท้า” ต่าง “สมอง” เดินลงสู่ท้องถนนกันอีก ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม
การแก้ปัญหาเศรษฐกิจของเราก็ยิ่งจะยากขึ้นเป็นทวีคูณ
ขอฝากไว้เป็นข้อคิดสั้นๆ ในวันอันเป็นมงคลวันนี้ให้นักการเมืองทุกฝ่ายเก็บไปคิดเป็นการบ้านด้วยก็แล้วกันครับ.
“ซูม”