เป็นธรรมดาของคนดังระดับ “บิ๊กป้อม” รองนายกรัฐมนตรี หมายเลข 1 ของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันที่เคยโชว์ฟอร์มเอาไว้อย่างหนึ่ง และเป็นฟอร์มที่ไม่ค่อยประทับใจคนไทยเท่าไหร่นัก
เมื่อจู่ๆ ท่านกลับมาแสดงบทรักษาการนายกรัฐมนตรีได้อย่างแข็งขัน จึงกลายเป็นเรื่องพลิกล็อกของบรรดานักวิเคราะห์การเมืองไปตามๆ กันว่า เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
ต้องมีอะไรอยู่ในใจ? หรือมีเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างแน่นอน…เช่นว่าตั้งใจจะโชว์ฟอร์มให้ดีๆ เพื่อนำไปสู่การเป็นนายกฯ ตัวจริง ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดว่า บิ๊กตู่ต้องพ้นจากตำแหน่งในครั้งนี้
เพราะอาจจะทำให้ ส.ส.ส่วนหนึ่ง และ ส.ว.อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งมีจำนวนมากพอสมควรและมากพอที่จะเสนอให้รัฐสภาเลือก “คนนอก” มาเป็นนายกฯ แทนที่จะเลือกผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีเดิมอยู่แล้ว
ถึงขนาดสรุปกันว่า เป็นไปได้นะ…อย่าประมาท “บิ๊กป้อม” เป็นอันขาด แม้จะยากมากๆ ก็เถอะ
แต่สำหรับผมอย่างที่เคยบอกแล้วว่าเป็นคน “คิดตื้น” ชอบคิดอะไร แค่ชั้นเดียว ผมก็คิดไปว่าที่บิ๊กป้อมท่านทุ่มเททำงานอย่างกระฉับกระเฉงอย่างทุกวันนี้ก็เพราะท่านมีวินัยทหารและปฏิบัติตามประเพณีทหารนั่นเอง
ในอดีตผมเคยไปประชุมร่วมกับทหารอยู่หลายครั้ง มีข้อสังเกตว่า ทหารนั้นเขาจะถือว่า “นาย” หรือ “ผู้บังคับบัญชา” ของเขาคือผู้มีอำนาจสูงสุดของหน่วยนั้น และเมื่อมาเป็นประธานในที่ประชุมก็จะมีอำนาจสูงสุดในการประชุมนั้นๆ
ทหารที่เป็นลูกน้อง โดยเฉพาะ “ท่านรอง” หมายเลข 2 ที่มาประชุมด้วยจะให้เกียรตินายหมายเลข 1 ของเขาอย่างมาก คือจะนั่งเงียบสนิท ฟังอย่างเดียว ไม่พูดเลยสักคำ ถ้า “นาย” ไม่ถาม
แรกๆ ผมเคยเข้าใจผิดนึกว่า “ท่านรอง” คนนี้บ่มิไก๊ พูดจาอะไรไม่เป็นสักอย่าง ไม่ถามก็ไม่ตอบ เป็นรองมาได้ยังไงเนี่ย?
ที่ไหนได้ วันหนึ่ง “นาย” ป่วย ให้หมายเลข 2 ขึ้นเป็นประธานแทน…แม่เจ้าโว้ย ทั้งพูดจาเฉียบคม ทั้งไล่เรียงเรื่องโน้นเรื่องนี้แบบรู้จริง ทำหน้าที่ประธานได้อย่างยอดเยี่ยมไม่แพ้เจ้านายตัวจริง
ผมจึงจำติดตามาตั้งแต่ยุคโน้นว่าทหารเขามีวินัยและมีประเพณีของเขาอยู่ระหว่างหมายเลข 1 กับหมายเลข 2 ดังตัวอย่างที่หยิบยกมานี้
มาที่กรณี “บิ๊กตู่” กับ “บิ๊กป้อม” ผมก็เดาว่าช่วงที่รับราชการทหาร บิ๊กป้อม ในฐานะพี่ใหญ่เวลาประชุมหัวโต๊ะก็คงจะพูดคนเดียวสั่งการคนเดียว โดยมี “น้องๆ” นั่งฟังอยู่เงียบๆ ตามวินัยทหาร
ต่อมา “บิ๊กป้อม” “บิ๊กป๊อก” ซึ่งเกษียณไปแล้วทั้งคู่ เมื่อตอนที่ “บิ๊กตู่” เป็น “ผบ.ทบ.” และมีเหตุที่จะต้อง “ทำปฏิวัติ” จนท่านต้องมาเป็นนายกรัฐมนตรีในภายหลัง
พอบิ๊กตู่เป็นนายกฯ ปุ๊บ ท่านก็ไปตาม “พี่ชาย” ทั้ง 2 ของท่านมาร่วม ครม.ด้วย ให้เป็นรองนายกฯ กับเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย
จึงเท่ากับว่า “บิ๊กตู่” พลิกบทบาทมาเป็น “เจ้านาย” ของพี่ๆ
เราจึงเห็นแต่ภาพของ “บิ๊กป้อม” ในฐานะเป็นรองหมายเลข 1 วางตัวแบบเรื่อยๆ ไปเรียงๆ ไม่แย่งซีน “น้อง” ที่มาเป็น “นาย”
บางครั้งก็เรื่อยเฉื่อยจนเสียฟอร์มเป็นเหตุให้บิ๊กตู่ต้องออกมาปกป้องให้หลายครั้ง
แต่มาวันนี้ “นาย” หรือ “น้อง” โดนศาลรัฐธรรมนูญห้ามเป็นนายกฯ ชั่วขณะ…ท่านต้องขึ้นมารักษาการแทน ท่านก็เลยทำหน้าที่แบบเดียวกับ “รองฯ” ฝ่ายทหารที่ผมเคยเห็นในยุคก่อน
คือทั้งฟิตทั้งกระฉับกระเฉงสั่งการเป็นไฟพะเนียง? อย่างที่เห็น
ผมจึงสรุปบทวิเคราะห์ของผมว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรในกอไผ่…แค่เป็นวินัยหรือธรรมเนียมของทหาร…นายไม่อยู่รองหมายเลข 1 จะโชว์ฟอร์มแทน และส่วนใหญ่ก็มักจะแทนได้ดีเป็นอย่างนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ก็อย่างที่เล่าไว้ตอนต้นน่ะแหละข้อมูลของผมเป็นข้อมูลเก่าเมื่อ 20-30 ปีก่อนโน้น บทวิเคราะห์บทนี้จึงอาจจะเข้าป่า หรือออกทะเลไปไกลก็เป็นได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน
เอาเป็นว่า “ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์ทหาร”…เดี๋ยวก็รู้ครับว่า “แรงบันดาลใจ” ที่ทำให้บิ๊กป้อมเกิด “ใจบันดาลแรง” ขึ้นนั้น…แท้ที่จริงแล้วคืออะไร?
“ซูม”