เมื่อปลายๆ เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวในที่ประชุมพรรคคอมมิวนิสต์อย่างภาคภูมิใจว่า ประเทศจีนของท่านสามารถเอาชนะความยากจนข้นแค้นอย่างที่สุดได้สำเร็จแล้วในปี ค.ศ.2020 หรือ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมานี้เอง
เมื่อคนยากจนข้นแค้นกลุ่มสุดท้ายของจีนมีรายได้สูงขึ้นเหนือ 4,000 หยวนต่อปี หรือ 18,700 บาท อันเป็นเส้นวัดความยากจนของประเทศได้ครบถ้วนในที่สุด
ย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.2013 หรือ พ.ศ.2553 ประธานาธิบดีสีออกมาแถลงตัวเลขจำนวนคนยากจนของจีนว่า ยังมีอยู่ถึง 98.99 ล้านคน กระจายอยู่ในเทศมณฑล 832 แห่งทั่วประเทศ
รัฐบาลจีนจึงขอประกาศเป็นเป้าหมายว่า ภายใน ค.ศ.2020 จีนจะพัฒนาคนจนทั้งหมดให้ก้าวพ้นเส้นความยากจนให้จงได้
ในที่สุดท่านก็ทำได้ จึงได้ออกมาแถลงในการประชุมพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงความสำเร็จดังกล่าว
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง กล่าวต่อที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ ตอนหนึ่งว่า “การขจัดความยากจนอย่างที่สุด คือเกียรติสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์ และประชาชน…เป็นวาระของมวลมนุษยชาติที่สมควรได้รับการบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์”
ข้อมูลทั้งหลายทั้งปวงข้างต้นนี้ ผมสรุปมาจากข่าวของ “เมเนเจอร์ออนไลน์” เมื่อ 2 วันก่อน ต้องขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้
ผมอ่านข่าวนี้หลายเที่ยว อ่านจบแล้วก็อดมิได้ที่จะต้องกล่าวแสดงความยินดีแก่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงในการพัฒนาประเทศ
ที่สำคัญข่าวนี้แสดงให้เห็นว่า ตลอดเวลาที่จีนเดินหน้าไปสู่ความสำเร็จจากประเทศที่เคยยากจน สามารถไต่ระดับขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นที่ 2 ของโลก รองจากสหรัฐฯเท่านั้น…จีนมิได้ทอดทิ้งคนยากคนจนเลย
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า แนวความคิดเรื่องกำหนดเส้นวัดความยากจนของแต่ละประเทศ ว่าควรอยู่ที่เท่าใด ผู้คนของประเทศนั้นจึงจะพออยู่ พออาศัยได้อย่างมีความสุขตามอัตภาพ เป็นความริเริ่มของธนาคารโลก
มีการแนะนำให้ประเทศต่างๆ กำหนดเส้นวัดความยากจนขึ้นมา อย่างประเทศไทยเรา ก็นำมาใช้ตั้งแต่แผนพัฒนาฉบับที่ 5 พ.ศ.2525-2529 สมัยป๋าเปรมเป็นนายกรัฐมนตรี และทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่และขยับเส้นวัดขึ้นมาเรื่อยๆ ตามอัตราค่าครองชีพที่ผันแปรไปตามช่วงเวลา
แต่น่าเสียดายที่ของเรายังเป็นตัวเลขลอยๆ อยู่ไม่สามารถจะบอกได้ว่าคนจนจริงๆ คือใคร? อยู่ที่ไหน?
พอจะหาคนจนเพื่อรับแจกเงินก็วุ่นไปหมดดังที่เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีก่อน…เพราะมีคน “อยากจน” หรือ “แกล้งจน” แฝงเข้ามารับสิทธิ์แทนคนจนจำนวนมาก
ในขณะที่ของจีนเขาชี้เป้าได้ว่า มีกี่คน? อยู่ที่ไหน? แล้วก็พุ่งไปให้ความช่วยเหลือจนในที่สุดก็สอบผ่านมีรายได้เกินเส้นวัดความยากจน 4,000 หยวนต่อปี ครบ 100 เปอร์เซ็นต์ ในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เราจะต้องเข้าใจด้วยว่า ปัญหาของการพัฒนาประเทศนั้นไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อแก้ปัญหาหนึ่งได้ก็ต้องมีอีกปัญหาอื่นๆ ตามมา
ทุกวันนี้อาจพูดได้ว่าจีนไม่มีคนจนแล้วจากตัวเลขข้อมูลที่ว่า…แต่ถ้าถามต่อไปว่า…แล้วช่องว่างระหว่างคนรวยสุดของจีนกับคนที่เพิ่งผ่านเส้นวัดความยากจนเป็นอย่างไร?
ก็คงได้คำตอบว่า น่าจะเป็นปัญหาที่รัฐบาลจีนจะต้องแก้ต่อไป เพราะรายได้ของคนรวยของจีนวันนี้เทียบกับคนที่เพิ่งผ่านเส้นวัดความยากจนน่าจะต่างกันราวฟ้ากับดิน
ข่าวล่าสุดบอกว่า ปีที่ผ่านมาเศรษฐีจีนที่มีรายได้ทะลุ 1 พันล้านดอลลาร์ หรือ 33,000 ล้านบาทต่อปี มีจำนวนถึง 1,058 คน มากที่สุดในโลก มากกว่าสหรัฐฯที่มีแค่ 696 คน ถึง 362 คน เลยทีเดียว
มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีนก็คือ คุณ จง ซานซาน มีทรัพย์สิน 85,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2,550,000 ล้านบาท เทียบกับเส้นวัดความยากจน 4,000 หยวน หรือ 18,700 บาท ก็เห็นจะต่างกันลิบลับ
สรุปก็คือคนจนเมืองจีนอาจไม่มีแล้ว แต่ช่องว่างระหว่างคนรวยสุดๆ กับคนเพิ่งหายจนของจีนยังห่างกันมาก
จะเป็นปัญหาของจีนต่อไปหรือไม่ในอนาคต คงต้องติดตามกันต่อไปครับ.
“ซูม”