ขึ้นปีใหม่ 2563 มาหลายวันแล้ว ผมเองก็เขียนถึงเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับปีใหม่มาหลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเหตุการณ์สำคัญมาก และเริ่มขึ้นโดยอาศัยฤกษ์ของปีใหม่ปีนี้โดยตรงที่ผมยังไม่ได้เขียนถึง…วันนี้คงได้คิวที่จะเขียนแล้วละ
นั่นก็คือการประกาศงดใช้ถุงพลาสติกสำหรับใส่สิ่งของหรือสินค้าต่างๆ จากห้างสรรพสินค้า+ร้านสะดวกซื้อ 75 แห่ง และเครือข่าย รวมกันแล้วถึงกว่า 25,000 ร้านทั่วประเทศไทย
อย่างร้านสะดวกซื้อ เซเว่น-อีเลฟเว่น นี่เลิกแบบหักดิบร้อยเปอร์เซ็นต์เลย เพราะวันที่ 31 ธันวาคม 2562 ผมมีงานค้างอยู่ที่โรงพิมพ์ต้องแวะมาเคลียร์ ก่อนเดินเข้าประตูหลังต้องผ่านร้านเซเว่นฯ ก็ตุนซื้ออาหารและเครื่องดื่มมาหลายอย่าง ซึ่งเขาก็ยังใส่ถุงพลาสติกให้ถึง 3-4 ถุง
พอวันที่ 1 มกราคม 2563 เขาหักดิบเลย ไม่แจกแม้สักใบเดียวจนลูกค้าต้องหอบของพะรุงพะรังกลับบ้านเป็นแถวๆ
ต่อมาจากข่าวโทรทัศน์ ข่าวโซเชียล รวมทั้งข่าวหนังสือพิมพ์ก็ทำให้ทราบว่าทุกห้างทุกร้านประกาศงดแจกถุงกันทั้งหมดแล้ว ทำให้เกิด ปฏิกิริยาทั้งในแง่แสดงความยินดีชื่นชมและการตำหนิติติงรัฐบาลเจ้าของนโยบายและบริษัทห้างร้านต่างๆ เกิดขึ้นทั่วประเทศ
ที่มีอารมณ์ขันก็งัดเอาชะลอมบ้าง กระเป๋าลากเดินทางบ้าง เข่งบ้าง กระสอบบ้าง ฯลฯ ไปจับจ่ายซื้อของในร้านสะดวกซื้อและตามห้างต่างๆ
ที่มีอารมณ์ขุ่นมัวเพราะโดนหักดิบก็โพสต์ข้อความตำหนิติติง
แต่หักกลบกันแล้วผมว่าคนเห็นด้วยและคนยินดี รวมทั้งคนอารมณ์ขันมีมากกว่า แสดงว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเข้าใจและเห็นด้วยกับนโยบายการเลิกลดงดใช้ถุงพลาสติก ที่เกิดจากความร่วมมือโดยสมัครใจระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในครั้งนี้
เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ปัญหาใหญ่ของโลกขณะนี้ก็คือขยะพลาสติกที่ฆ่าไม่ตาย ขายไม่ขาด อายุยืนเป็นอมตะนับเป็นร้อยปีไม่มีวันย่อยสลาย
เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ทำให้โลกร้อนขึ้น และร้อนขึ้นในปัจจุบันนี้
อะไรไม่อะไร ขยะพลาสติกไม่เพียงอาละวาดอยู่บนพื้นดินหรือบนบกเท่านั้น ยังไหลลงแม่น้ำ ลงทะเล ไม่ย่อยไม่สลายในทะเล และเมื่อฝูงปลาหรือสัตว์ทะเลต่างๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร นึกว่าเป็นอาหารจึงกินเข้าไป ก็เกิดอาการไม่ย่อยไม่สลาย สัตว์ทะเลตายปีละมากๆ
ผมเองก็เคยเขียนในคอลัมน์นี้หลายๆ ครั้งว่า ประเทศไทยของเราติดอันดับที่ไม่น่าพึงใจอีกอย่างหนึ่งแล้ว คือเป็นประเทศอันดับ 6 ของโลก ที่ปล่อยขยะลงสู่ทะเลในแต่ละปี
จึงเป็นเรื่องถูกต้องแล้วที่เราจะต้องหาทางลดการใช้ถุงพลาสติก จากการที่เคยใช้ถึงปีละ 70,000 ล้านถุง ซึ่งเยอะเหลือเกินลงบ้าง
ผมไม่แน่ใจว่าความร่วมมือของ 75 ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อครั้งนี้จะช่วยลดปริมาณการใช้และการผลิตถุงพลาสติกลงได้มากน้อยเพียงใด แต่ก็มั่นใจว่าคงจะมากในระดับหนึ่ง
ที่สำคัญก็คือการแสดงว่าเราตระหนักรู้ถึงปัญหาใหญ่ของโลก และพร้อมที่จะร่วมมือกับชาวโลกในการแก้ปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก และกำลังทำลายสิ่งแวดล้อมของโลกอยู่ในขณะนี้
แต่ก็อย่าลืมนะครับว่าการใช้ถุงพลาสติกที่มากที่สุดอีกอย่างหนึ่งของบ้านเราก็คือการใช้ในครัวเรือน โดยเฉพาะการซื้ออาหารสำเร็จรูปกลับไปกินที่บ้าน ที่กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของเราไปแล้ว
ข้าวแกงถุง, ก๋วยเตี๋ยวถุง, โจ๊กถุง ฯลฯ กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ของคนไทยที่ทำงานนอกบ้านจนไม่มีเวลาทำครัวมาหลายปี
ถุงพลาสติกใส่อาหารนี่แหละที่ใช้ครั้งเดียวทิ้งมากที่สุด (เนื่องจากเอาไปใช้ใหม่ไม่ได้) จึงเป็นปัญหามากที่สุด
กรณีนี้คงหักดิบไม่ได้แน่นอน ต้องหาทางพูดคุยกับพ่อแม่พี่น้องประชาชนชาวไทยให้เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ และช่วยกันลดโดยสมัครใจ
ครับ! ผมก็ขอร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ความร่วมมือร่วมใจในการงดใช้ถุงพลาสติกของห้างร้านต่างๆ ที่เริ่มมาจาก 1 มกราคม 2563 อีกครั้งหนึ่ง
ส่วนว่าเมื่อไรจะสามารถลดหรืองดการใช้ถุงพลาสติกใส่อาหารกลับบ้าน ได้บ้าง ผมก็เพียงแต่ฝากเป็นข้อคิดไว้เท่านั้นเองไม่เสนอให้ทำวันนี้พรุ่งนี้หรอกครับ แต่คิดว่าเป็นเรื่องที่ต้องทำในอนาคต
หากจะให้อันดับโลกอันไม่พึงปรารถนากรณีปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลเป็นอันดับ 6 โลกของเราลดลงไปละก็.
ซูม