ณ บัดที่ “จ่าแฉ่ง” นั่งเขียน ต้นฉบับวันนี้ ศึกฟุตบอลโลก รอบ “เซมิไฟนอล” คู่แรกระหว่าง “ฝรั่งเศส” กับ “เบลเยียม” ยังไม่ลงสนามเลยครับ
แต่ทันทีที่ต้นฉบับลงตีพิมพ์ ผลการแข่งขันระหว่างตราไก่กับ ปิศาจแดงยุโรปจะคลอดออกมาเรียบร้อย
ไม่ว่าใครชนะ “จ่าแฉ่ง” ขอแสดงความยินดีด้วย และไม่ว่าใครแพ้ “จ่าแฉ่ง” ก็ขอแสดงความเสียใจด้วย…เพราะรักและชื่นชมทั้ง 2 ทีมทัดเทียมกัน
ต่างกับคู่ตัดเชือกคู่ที่สอง ระหว่าง อังกฤษ กับ โครเอเชีย ในช่างกลางดึกของคืนวันพุธที่ 11 กรกฎาคม แม้จะชื่นชมและรักใคร่นักเตะ ตาหมากรุก อยู่ไม่น้อย รวมทั้งจะเอาใจช่วยอยู่เสมอเวลาเตะกับทีมอื่นๆ
แต่เมื่อมาเตะกับ สิงโตคำราม ก็คงต้อง “บ่องตง” หรือบอกกันตรงๆ ว่า “จ่าแฉ่ง” ต้องยอมเสียความเป็นกลางมาเอาใจช่วยสิงโตแล้วล่ะ
ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียวเท่านั้นว่า ในครั้งแรก ที่ “จ่าแฉ่ง” เริ่มต้นติดตามฟุตบอลโลกอย่างจริงจัง เมื่อ ค.ศ.1966 หรือ พ.ศ.2509 นั้น อังกฤษเป็นเจ้าภาพ และได้เป็นแชมป์โลก
แม้จะไม่ได้ดูถ่ายทอดสด แต่ก็ได้ดูไฮไลต์และภาพยนตร์ข่าวเป็นระยะๆ ยังประทับใจอยู่จนถึงวันนี้ สำหรับนัดชิงชนะเลิศที่ อังกฤษ เสมอ เยอรมัน-ตะวันตก 2-2 ในเวลาปกติ
แล้วมาซัลโวได้ถึง 2 ประตู ในนาที 101 กับ 120 ของช่วงต่อเวลา โดย เจฟ เฮริสต์ ประตูในนาทีที่ 101 นั่นเอง ที่ถือเป็นประตูประวัติศาสตร์ และยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเข้าจริงหรือไม่ มาจนบัดนี้
กรรมการเป่าให้ แต่กองเชียร์เยอรมันและผู้สื่อข่าวทั่วโลกบอกว่าไม่เข้า ทั้งภาพยนตร์และภาพนิ่งที่ถ่ายไว้ก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจน
น่าเสียดายที่ยุคนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีโกลไลน์ และยังไม่มี VAR อย่างเดี๋ยวนี้ จึงไม่มีใครมากลับ คำตัดสินทำให้สิงโตคำรามชนะไป 4-2 ได้ครองแชมป์บอลโลกในที่สุด
ชัยชนะครั้งนั้นทำให้คนอังกฤษดีใจกันทั้ง ประเทศ ปลื้มใจกันทั้งประเทศ
ในฐานะผู้ให้กำเนิดกีฬาฟุตบอลขึ้นในโลกนี้ แต่ต้องทนดูคนอื่นเป็นแชมป์โลกมาหลายปี…จะไม่ให้ดีใจกันสุดๆ ได้ยังไงล่ะ เมื่อผู้ให้กำเนิดฟุตบอลได้เป็นแชมป์โลกกับเขาเสียที
“จ่าแฉ่ง” ก็พลอยดีใจไปด้วย เพราะช่วงนั้นเริ่มมีฟุตบอลอังกฤษมาฉายให้ดูทางโทรทัศน์ช่อง 4 บางขุนพรหม อยู่บ้างแล้ว
เด็กไทยส่วนมากจึงถูกปลูกฝังด้วยฟุตบอลอังกฤษ และกลายเป็นแฟนบอลอังกฤษไปเสียเป็นส่วนมากรวมทั้ง “จ่าแฉ่ง” ว่าอย่างนั้นเถิด
ตั้งแต่นั้นมา “จ่าแฉ่ง” และเด็กไทยรุ่นนั้นที่กลายเป็นคนแก่ไทยรุ่นนี้ต่างก็เอาใจช่วยสิงโตคำรามมาตลอดในการแข่งขันบอลโลก
ซึ่งก็ปรากฏว่าทีมชาติอังกฤษไม่เคยไปถึงดวงดาวอีกเลย แถมบางหนยังไม่ผ่านรอบคัดเลือกเอาด้วยซ้ำ เช่น ใน ค.ศ.1974, 1978 และล่าสุด คือ 1994
เคยได้เข้ามาถึงรอบ 4 ทีมหนเดียวเท่านั้น ในปี 1990 แล้วก็ไปยิงลูกโทษแพ้ เยอรมันตะวันตก 3-4 ในนัดตัดเชือกต้องไปชิงที่ 3 กับ อิตาลี เจ้าภาพ ซึ่งก็แพ้อีกได้กลับมาเพียงที่ 4 เท่านั้น
สำหรับการเข้ารอบ 4 ทีมหนนี้ สถานการณ์ดูดีกว่าปี 1990 หลายเท่า เพราะคู่ตัดเชือกมิใช่ เยอรมันตะวันตก หรือปัจจุบันก็คือ เยอรมัน หนึ่งในมหาอำนาจลูกหนังของโลกแต่อย่างใด
หากแต่เป็น โครเอเชีย ซึ่งอย่างไรเสียก็ต้องถือว่ายังเป็นรองเยอรมันอยู่หลายช่วงในแง่บารมีและศักดิ์ศรี
จึงเป็นโอกาส “เพชร” ของสิงโตคำราม เพราะคงไม่ง่ายนักที่จะมาเจอด่านรอบนี้ ที่มิใช่ประเทศมหาอำนาจลูกหนัง
“จ่าแฉ่ง” มิได้ปรามาสโครเอเชียแต่อย่างใดทั้งสิ้น เพียงแต่วิเคราะห์กันไปตามเนื้อผ้า และหวังว่าอังกฤษจะสามารถฉกฉวยโอกาสอันประเสริฐสุดครั้งนี้เอาไว้ได้
ยิ่งนัดที่แล้วอังกฤษผ่าน สวีเดน มาสบายๆ ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีใครเหน็ดเหนื่อยอะไรมากนัก…ตรงข้ามกับตาหมากรุกที่กว่าจะชนะรัสเซียได้ต้องเล่นถึง 120 นาที และต้องยิงลูกโทษ เหนื่อยทั้งกายและใจไปตามๆ กัน
ถึงได้บอกว่าเป็นโอกาสเพชรไงครับ เพราะไม่เพียงแต่จะเจอทีมที่ไม่ใช่มหาอำนาจลูกหนังเท่าไรนักเท่านั้น ยังจะเจอกับทีมที่ค่อนข้างกรอบเป็นข้าวเกรียบอีกด้วย
ถ้า แฮร์รี เคน และพลพรรคสิงโตคำรามของเขายังเอาชนะไม่ได้ จนทำให้หมดสิทธิเข้าไปสู่รอบสุดท้ายเหมือนปี 1966 ได้อีกครั้งละก็…จ่าแฉ่งก็ไม่รู้จะเซดว่าอย่างไรแล้วละ
ทำให้ได้ก็แล้วกันเคนเอ๋ย…รอมา 52 ปี แล้วนะเนี่ย ถ้าพลาดโอกาสในพุธนี้ละก็ อาจจะต้องรอไปอีก 48 ปี รวมเป็น 100 ปีเลยละสิงโตคำราม กว่าจะมีโอกาสอันดีแสนดีแบบนี้อีกครั้ง.
“จ่าแฉ่ง”