“ข่าวร้าย” ที่ต้องรับฟัง

มาแล้วครับตัวเลขการประมาณการ “เศรษฐกิจไทย” ไตรมาสแรกของปีนี้ จาก “สำนักงาน” ที่น่าเชื่อถือที่สุดในบรรดานักพยากรณ์สำนักต่างๆ ทั้งในประเทศไทยเราเอง และองค์กรดังๆ ในระดับนานาชาติที่เผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้

นั่นก็คือถ้อยแถลงของท่าน เลขาธิการสภาพัฒน์ เมื่อสายๆ ของวันจันทร์ที่ 19 พ.ค. สรุปข้อใหญ่ใจความได้ว่าไตรมาสแรกของปี 2568 (มกราคม-กุมภาพันธ์-มีนาคม) ที่ผ่านมานี้ เศรษฐกิจไทยโดยรวมขยายตัวร้อยละ 3.1 ต่อเนื่องจากการขยายตัวร้อยละ 3.3 ในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว

ดูจากตัวเลขดิบๆ ร้อยละ 3.1 น่าจะถือว่าติดลบ เพราะยังตํ่ากว่าร้อยละ 3.3 แต่ในคำอธิบายโดยละเอียดของเอกสารประกอบสภาพัฒน์ มีหมายเหตุติ่งไว้ว่าเมื่อปรับผลของฤดูกาลออกแล้วไตรมาสแรกของปี 2568 ยังขยายตัวจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ประมาณร้อยละ 0.7 เปอร์เซ็นต์

โดยข้อเท็จจริงผ่านความรู้สึก และการสัมผัส ตลอดจนการ มองเห็นด้วยตาของพวกเราประชาชนคนเดินถนนทั่วๆ ไป เห็นด้วยกับสภาพัฒน์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการท่องเที่ยวของเรายังคึกคักสนุกตั้งแต่ปีใหม่มาจนถึงสงกรานต์ และยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังเพิ่มขึ้น

แถมด้วยการส่งออกสินค้าบางชนิดที่ลูกค้าของเราในสหรัฐฯ ซื้อไปกักตุนไว้ เพื่อรับมือกับนโยบายการขึ้นภาษีอากรนำเข้าของทรัมป์มีส่วนทำให้ตัวเลขส่งออกเป็นบวกดังที่ทราบๆ กันอยู่

ประเด็นที่ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์ คุณดนุชา พิชยนันท์ ห่วงใยจะเริ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ไตรมาส 3 จนถึงไตรมาสสุดท้าย หลังจากโลกทั้งโลก รวมทั้งประเทศไทยเราด้วย ได้รับผลกระทบโดยตรงจากมาตรการด้านภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์โดยทั่วหน้าแล้ว

ท่านทำนายว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศไทยตลอดปี 2568 นี้ จะอยู่ในระหว่างร้อยละ 1.3-2.3 โดยมีค่ากลางอยู่ที่ร้อยละ 1.8 จึงฟันธงว่า มองจากจุดนี้ ณ นาทีนี้เศรษฐกิจไทยปี 2568 จึงน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 1.8 ต่ำกว่าที่เคยคาดหมายไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อลงไปดูในเอกสารประกอบละเอียดยิบที่ท่านลงไว้ใน เว็บไซต์ของสภาพัฒน์ ก็จะพบว่าตัวเลขด้านการลงทุนของภาคเอกชนจะลดลงมากถึงขั้นติดลบ ของภาครัฐแม้จะไม่ติดลบก็ลดลงด้วยอัตราที่น่าใจหาย

การบริโภคก็ลดลงทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ในขณะที่มูลค่าการส่งออกของปีนี้ทั้งปีจะโตเพียง 1.8 เปอร์เซ็นต์

ผลกระทบจากการที่ตัวเลขเปอร์เซ็นต์ต่างๆลดลง เมื่อแปลออกมาเป็นภาคของ “ชีวิตจริง” ก็คือ การปิดตัวเองของโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะขนาดกลาง ขนาดย่อย การปิดร้านเลิกกิจการของบริษัท ห้างร้าน ฯลฯ

คนไทยเราก็จะตกงานจะว่างงานเป็นจำนวนมาก

ภาพร้ายๆ ใน 2 ย่อหน้าหลังนี้ท่านเลขาธิการสภาพัฒน์มิได้แถลงไว้แต่เป็นจินตนาการจากประสบการณ์ของผมเองจากสถานการณ์ตกต่ำของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในอดีต

จริงๆ แล้วยุคที่โลกและประเทศไทยต้องเจอพายุเศรษฐกิจอย่างหนักคือช่วง ค.ศ.1930 หรือ พ.ศ.2473 ซึ่งผมเกิดไม่ทันได้ยินแต่คำบอกเล่าและบันทึกความเจ็บปวดผ่านเอกสารต่างๆ

หลังจากนั้นมาโลกเราย่างเข้าสู่ยุคใหม่และมี “ตำรา” หรือ “ตัวยา” หรือวิธีการรักษาโรคเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นหลายขนาน ทั้งด้านนโยบายการเงิน การคลัง ฯลฯ ทำให้ความเจ็บปวดจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำระยะสั้นๆ เกิดขึ้นบ้าง แต่ทั้งโลกและประเทศไทยเราก็เอาตัวรอดมาได้ทุกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็น “แชร์แม่ชม้อย” “วิกฤติต้มยำกุ้ง” “วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์” หรือล่าสุดก็คือ “วิกฤติโควิด–19”

ก็เอาเถอะผมเป็นคนมองโลกในแง่ดียังหวังว่าสถานการณ์ต่างๆอาจไม่เลวอย่างที่คาด ที่สำคัญสภาพัฒน์เขาก็เสนอทางแก้ เอาไว้หลายๆ ทางในเอกสารผู้เกี่ยวข้องลองไปอ่านกันดู

แม้สถานการณ์จะน่าห่วงมาก ตั้งแต่ “กัปตัน” ของเรามือใหม่หัดขับ พนักงานเครื่องบิน หรือพรรคร่วมรัฐบาลก็เล่นแง่เล่นมุมทะเลาะกันตลอด ฯลฯ แต่ก็อย่างว่านักเศรษฐศาสตร์ “สายมู” อย่างผมยังเชื่อว่าพระสยามเทวาธิราชยังทรงดูแลพวกเราอยู่ครับ.

“ซูม”

การเติบโตของเศรษฐกิจไทย 2568 ไตรมาสแรก พร้อมแนวโน้มเศรษฐกิจจากรายงานของสภาพัฒน์