เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ หรือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ออกมาแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาสที่ 4 ของปี 2567 ที่ผ่านไป และภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 เป็นข่าวพาดหัวสื่อต่าง ๆ ทั้งออนไลน์และสิ่งพิมพ์ทุกฉบับ
สำหรับหนังสือพิมพ์ไทยรัฐของเราเองก็มีทั้งรายงานข่าวในหน้าเศรษฐกิจและในคอลัมน์อีกหลายๆคอลัมน์ รวมทั้งคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” ของคุณ “ลม เปลี่ยนทิศ” ข้างๆผม
เผอิญผมเองต้องไปร่วมบำเพ็ญกุศลและร่วมห่มผ้าถวายสักการะ พระบรมธาตุภูเขาทอง ที่วัดสระเกศต้องเขียนต้นฉบับล่วงหน้าทำให้ตกข่าว จีดีพี ของสภาพัฒน์ไป 1 วัน
แต่ก็ถือว่ายังไม่สายเกินไป หากจะนำมาเขียนในวันนี้ เพราะในความเห็นของผม…มองว่า…ในเรื่องตัวเลข จีดีพี ของประเทศไทยโดยเฉพาะการคาดการณ์ต่างๆ ซึ่งกระทำโดยนักเศรษฐศาสตร์หลายๆสำนักนั้น…สำนักที่ควรจะต้องเชื่อเพราะน่าจะคาดการณ์ได้ใกล้เคียงที่สุด ก็คือ สภาพัฒน์ นี่แหละ ในฐานะเจ้าตำรับการจัดทำตัวเลข จีดีพีอย่างละเอียด เจ้าแรกเจ้าเดียวของประเทศไทย
ผมใช้คำว่า “เจ้าแรก” และ “เจ้าเดียว” คงไม่ผิดเพราะเจ้าอื่น ๆ สำนักอื่น ๆ เขามักจะทำหน้าที่เพียงแค่ทำนายว่าจีดีพีในปีที่เขาทำนายนั้นเป็นเท่าไร จะเพิ่มขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ โดยอาศัยสูตรในการทำนายและใช้ตัวเลขหลัก ๆ บางตัวเท่าที่มีการรายงานในแต่ละปีทำนายแล้วก็จบกันไป
ในขณะที่สภาพัฒน์หน้าที่หลักของเขาประการหนึ่งคือการจัดทำบัญชีประชาชาติ บัญชีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ โดยละเอียดย้อนหลัง เพื่อใช้เป็นข้อมูลหลักที่ถาวรของประเทศ
พยากรณ์ล่วงหน้าไปแล้วก็ต้องย้อนกลับไปชำระบัญชีย้อนหลัง เอาตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงมาคำนวณกันอีกครั้ง
โดยมีกองใหญ่กองหนึ่งชื่อว่า กองบัญชีประชาชาติ รับหน้าที่ในการจัดทำบัญชีประชาชาติของประเทศไทย มาตั้งแต่ก่อตั้งสำนักงานนี้ เมื่อ พ.ศ.2502 ยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เสียด้วยซํ้า
ดังนั้นเมื่อสภาพัฒน์พยากรณ์ว่าอย่างไร? ฝากความคิดเห็นเอาไว้อย่างไร? เกี่ยวกับจีดีพีและสถานการณ์ภาระเศรษฐกิจ ผมจึงหวังว่ารัฐบาลจะนำไปใช้และรับฟังความคิดเห็นต่างๆด้วยความเอาใจใส่ พร้อมทั้งนำไปวิเคราะห์ต่อไป พิจารณาต่อโดยไม่มีอคติใดๆ
ซึ่งโดยสรุปสภาพัฒน์ยํ้าว่า เศรษฐกิจไทยปี 2567 ที่ผ่านไปขยายตัวร้อยละ 2.5 เร่งขึ้นจากการขยายตัวร้อยละ 2 ในปี 2566
ส่วนปี 2568 หรือปีนี้ซึ่งเพิ่งจะผ่านไปไม่ถึง 2 เดือนนั้น คาดว่าจีดีพีประเทศไทยจะเติบโตระหว่างร้อยละ 2.3-3.3% หรือมีค่ากลางร้อยละ 2.8 อาจไม่ถึงร้อยละ 3 อย่างที่มีการคาดหวังกันไว้
ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของ ธนาคารโลก ที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปี 2568 น่าจะโตที่ร้อยละ 2.9 ปรับลงจากที่เคยคาดว่าจะโตร้อยละ 3 ก่อนหน้านี้
หากจะทำให้ถึงร้อยละ 3 สภาพัฒน์เสนอว่ารัฐบาลจะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นและดำเนินการในข้อเสนอแนะ 5 ประการ ซึ่งผมคงไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้ เนื่องจากเนื้อที่จำกัด ท่านที่สนใจสามารถค้นหาได้ที่เว็บไซต์ของสภาพัฒน์
ประเด็นสำคัญที่สภาพัฒน์เสนอมาด้วยก็คือการเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ซึ่งปรากฏว่าการขยายตัวปี 2568 ของเราน่าจะตํ่ากว่าเพื่อนบ้านอื่นๆในอาเซียนอีกเช่นเคย
โดยเฉพาะกับเวียดนาม ซึ่งคาดว่าเขาจะขยายตัวได้ร้อยละ 6 แต่ของเราอาจจะได้แค่ร้อยละ 2.8 อย่างที่ว่า
ไม่ว่าอย่างไรตัวเลขการคาดการณ์ก็ยังเป็นการคาดการณ์ เมื่อกาลเวลามาถึงหากเรามีการเร่งรัดโน่นนี่อย่างจริงจังและร่วมมือกันทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ตัวเลขต่าง ๆ ก็อาจจะดีขึ้นได้
ผมจึงหวังว่ารัฐบาลชุดนี้ ซึ่งมีนักเศรษฐศาสตร์รุ่นใหม่ รุ่นเก่า อยู่มากจะใจกว้างพอที่จะนำข้อคิดข้อเสนอแนะของสภาพัฒน์ไปใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างจริงจังจริงใจ เพื่อให้เราสามารถฝ่าวิกฤติที่รออยู่ข้างหน้าไปได้ในที่สุด.
“ซูม”