ทุกๆ ปีในขบวน “แห่เจ้าพ่อเจ้าแม่” ในเทศกาลตรุษจีนของชาวปากน้ำโพ หรือนครสวรรค์บ้านผม นอกจากขบวน “มังกรทอง” และ “สิงโต” อันลือชื่อแล้วยังมีอีกขบวนหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากพอๆ กัน…เรียกว่าขบวน “เอ็งกอพะบู๊”
ขบวนจะมีจำนวนประมาณ 30 กว่าคน ไว้หนวดไว้เคราถืออาวุธหน้าตาดุร้ายเหมือนโจรผู้ร้าย…ซึ่งก็เป็นโจรจริงๆ ในทัศนะของฝ่ายปกครองบ้านเมืองจีนในยุคโบราณ
แต่สำหรับชาวบ้าน เขาคือผู้กล้า หรือวีรบุรุษที่รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับอธรรม ต่อสู้กับขุนน้ำขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงในยุคดังกล่าว
เขาคือตัวแทนของ “108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน” จากนิยายคลาสสิกจีนเรื่อง “ซ้องกั๋ง” ที่แต่งเอาไว้แต่โบราณกาลและต่อมาก็เป็นภาพยนตร์บ้างเป็นซีรีส์หนังจีนฮ่องกงบ้างออกฉายเมื่อหลายๆ ปีก่อนโน้น
วันนี้ผมขออนุญาตเขียนถึงผู้กล้ายุคปัจจุบันบ้าง…ซึ่งก็มีเพียง 3 คนเท่านั้น ไม่ถึง 108 คน ดังในเรื่อง “ซ้องกั๋ง” และเนื่องจากเขาเป็นผู้กล้าของประเทศไทยและที่พักอาศัย (ความจริงที่ทำงาน) ของพวกเขาส่วนใหญ่ก็อยู่ไม่ห่างไกลจาก “ภูเขาทอง” มากนัก
จึงขออนุญาตยกย่องพวกเขาว่า “3 ผู้กล้าแห่งภูเขาทอง” ให้สอดคล้อง กับเรื่องราวในตำนานจีน “108 ผู้กล้าแห่งเขาเหลียงซาน” ก็แล้วกัน
ผู้กล้าทั้ง 3 นี้คือ สำนักงานกฤษฎีกา, สภาพัฒน์ และ แบงก์ชาติ หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ได้แสดงความกล้าหาญออกมาคัดค้านโครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาทของรัฐบาล หรือเปรียบได้กับ “ขุนนาง” ในยุคก่อน
ในเว็บไซต์รัฐบาลเมื่อ 2 วันก่อน ได้เผยแพร่ความเห็นของส่วนราชการที่สำคัญว่ามีความเห็นอย่างไรต่อโครงการนี้ ก็ปรากฏว่าทั้ง 3 หน่วยงานผู้กล้าแห่งภูเขาทองที่ว่านี้ ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในเชิงแนะนำ ห่วงใย และชี้ให้ระมัดระวังในประเด็นต่างๆ มากมาย
โดยเฉพาะผู้กล้า แบงก์ชาติ ได้เสนอแนะในประเด็นรายละเอียดมากกว่าเพื่อน แสดงความห่วงใยมากกว่าเพื่อน ดังที่มีการเผยแพร่จดหมายเปิดผนึกออกมาด้วยแล้ว
อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า “ขุนนาง” หรือ รัฐบาล ปัจจุบัน (ต้องใช้คำว่ารัฐบาลละกัน เพราะทุกพรรคออกมายืนแถลงเคียงข้างนายกฯ เศรษฐากันทั้งหมดว่าเห็นด้วยกับโครงการนี้) มิใช่มีพฤติกรรมฉ้อฉลหรือข่มเหงราษฎรดังเช่นในแผ่นดินจีนยุคโน้นนะครับ
ขอมองอย่างบริสุทธิ์ใจว่าท่านมีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมืองเห็นว่า จีดีพี ของประเทศเพิ่มในอัตราต่ำมานาน ทำให้เศรษฐกิจอ่อนแอท่านจึงมีความประสงค์จะปั๊มจีดีพีให้พุ่งสูงขึ้น
ใช้เงินก้อนมโหฬารที่ไม่รู้จะเปรียบเทียบเป็นเงินจีนโบราณว่าอย่างไรได้ เพราะสูงถึง 5 แสนล้านบาท และก็ชัดแล้วว่าส่วนใหญ่จะเอาจากเงินงบประมาณแผ่นดินและยืมจากธนาคาร ธ.ก.ส.
แม้จะมิใช่การฉ้อฉลและแท้ที่จริงแล้วเป็นความปรารถนาดีที่จะฟื้นเศรษฐกิจด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากเงินก้อนนี้เป็นเงินก้อนใหญ่มาก แจกไปแล้วเสี่ยงสูงที่จะทำให้เป็นภาระทางการคลังแก่อาณาจักรเซียมล้อในอนาคต
อีกทั้งยังจะไปทำให้เงินทองที่จะใช้ลงทุนก่อสร้างความเจริญด้านอื่นๆ ต้องขาดหายไปเนื่องจากเอามาแจกตามโครงการนี้ ซึ่งไม่มีอะไรรับประกันว่าจะทำให้จีดีพีเพิ่มหรือไม่? เกิดพายุหมุนทางเศรษฐกิจจริงหรือไม่?
แต่เมื่อ “ขุนนาง” หรือรัฐบาลยังเดินหน้าจะแจกต่อไป ทั้ง 3 ผู้กล้าจึงออกมาฝากข้อติงข้อเตือนเอาไว้ ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรดังกล่าว
อมตะนิยายชุด “ซ้องกั๋ง” ปัจจุบันจะจบลงอย่างไร? คงต้องติดตามต่อไป
แต่ในฐานะของนักเศรษฐศาสตร์แก่ๆ ที่แม้จะเชื่อและใช้ GDP มาบ้าง แต่ก็จะใช้อย่างมีเหตุมีผลไม่งมงายไม่เชื่อว่ามันจะเป็นตัววัดที่ดีที่สุด โดยเฉพาะจีดีพีประเทศไทย
ผมจึงเห็นด้วยกับ 3 ผู้กล้าแห่งภูเขาทองและหวังว่าจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาดลใจให้ “ขุนนาง” หรือรัฐบาลชุดนี้เปลี่ยนใจ…ไม่เสี่ยงใช้เงิน 500,000 ล้านบาท เพื่อแลกกับความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าจีดีพีจะเพิ่มเท่านั้นเท่านี้และช่วยฟื้นฟูประเทศไทยกลับมาได้
ดังนั้น ณ นาทีนี้ในฐานะกองเชียร์คนหนึ่งผมขอขอบคุณและขอชมเชย 3 ผู้กล้าแห่งภูเขาทองอีกครั้งว่า…ทั้ง 3 ท่านได้ทำหน้าที่อย่างกล้าหาญและอย่างสมศักดิ์ศรีทุกประการแล้วครับ
“ซูม” หมายเหตุ : มีข่าวด่วนมาเดี๋ยวนี้เองว่า ท่านรัฐมนตรีต่างประเทศ ปานปรีย์ได้ยื่นใบลาออกจากทุกตำแหน่งหลังมีการแต่งตั้งใหม่เสียแล้ว เอาละซี ที่ผมสังหรณ์เมื่อวานนี้ว่า การเปลี่ยนม้ากลางศึกของรัฐบาลครั้งนี้อาจจะเป็นข่าวร้ายนั้น–น่าจะจริงเสียละกระมัง!
“ซูม”