เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผมได้รับไลน์เชิญชวนจากฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสำนักงานปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้ไปร่วมในพิธีเปิดงาน “อารามอร่าม 10 วัด” + พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร ที่กระทรวงวัฒนธรรมและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันจัดขึ้นเพื่อเสริมงานส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของประเทศไทยให้ทรงพลังมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้เรามีงาน “วิจิตรเจ้าพระยา” ซึ่งมี ททท. เป็นโต้โผหลักจัด ประดับไฟและการแสดงแสงสีเสียง ตลอดจนการจุดพลุไฟฉายเลเซอร์ตามจุดสำคัญต่างๆ 2 ริมฝั่งเจ้าพระยา ที่เริ่มมาแล้วตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม
ต่อมาก็มีข่าวงาน “วิจิตรอรุณ” งานเคาต์ดาวน์ส่งท้ายปีเก่า 2566 ต้อนรับปีใหม่ 2567 ด้วยการจุดพลุ 9 ชุด ยาว 7 นาที ณ หน้าพระปรางค์ วัดอรุณฯ จัดโดย ททท.เช่นกัน ออกมาสร้างความสนใจและการรอคอย ของพี่น้องชาวไทยและต่างประเทศที่ทราบข่าวว่าจะมีการยิงพลุชุดนี้
จากนั้นก็มีข่าวการจัดงาน “อารามอร่าม 10 วัด” + พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร โดยกระทรวงวัฒนธรรม กรมการศาสนา และหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องสอดแทรกขึ้นมาอย่างเร่งด่วน
ระบุว่าจะมีการเปิดไฟในยามค่ำคืนระหว่าง 18.00-21.00 น. ณ 10 วัดสำคัญในเขต กทม. เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวเข้าไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในแต่ละวัด และสัมผัสความวิจิตรงดงามยามค่ำคืนของวัดต่างๆ ซึ่งจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ให้ประชาชนและ นักท่องเที่ยวได้มีโอกาสสัมผัสความงามของศิลปะไทยในยามค่ำคืนเป็นครั้งแรก
น้องๆ ฝ่ายประชาสัมพันธ์แจ้งด้วยว่า หลังพิธีเปิด ณ วัดราชนัดดาราม โดยท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม แล้วก็จะมีการจัดทัวร์นั่ง “รถราง” ไปกราบสักการะวัดอื่นๆ ต่ออีก 3 วัดกับ 1 พิพิธภัณฑ์
โดยจากวัดราชนัดดารามจะไป วัดสุทัศนเทพวราราม, วัดราชบพิธ สถิตมหาสีมาราม, วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม และส่งท้ายที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร
ผมได้ยินรายชื่อวัดที่จะนำชมเป็นตัวอย่าง 4 วัด +1 พิพิธภัณฑ์ แล้วก็ตอบรับทันที เพราะโดยปกติในช่วงปีใหม่อย่างนี้ผมก็มักจะหาโอกาสไปสักการะวัดต่างๆ ที่เอ่ยถึงเหล่านี้อยู่แล้ว
ซึ่งในที่สุดก็ได้ไปได้เห็นได้กราบได้ไหว้ได้ขอพรเผื่อไปถึงปีใหม่สมมาดปรารถนา รวมทั้งได้ความรู้สึกที่ประทับใจอย่างยิ่ง และต้องขอใช้คำว่า “วิจิตรเหลือเกิน” ในทุกวัดทุกพระอุโบสถและทุกๆ หลวงพ่อ ที่ได้ไปกราบเมื่อช่วงหัวค่ำวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
เริ่มจากสักการะพระประธานในพระอุโบสถ วัดราชนัดดาราม และองค์ “โลหะปราสาท” สีทองอร่ามทั้งองค์ที่เฉิดฉายงามสง่าเหลือเกินเมื่อต้องแสงไฟ
ได้สักการะ พระศรีศากยมุนี หรือ “พระโต” ที่อัญเชิญมาจากพระวิหารหลวงวัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 มาประดิษฐาน ณ วัดสุทัศน์ ซึ่งก็ต้องเรียนว่างดงามเปล่งปลั่ง แฝงไว้ด้วยความเมตตาบนพระพักตร์อย่างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน
ได้สักการะ พระพุทธอังคีรส และพระอุโบสถที่ประดับไฟแล้ว งดงามอย่างเหลือเชื่อของวัดราชบพิธฯ ทำให้ต้องถ่ายภาพเก็บไว้ในหลายๆ แง่มุม และก็วิจิตรตระการตาในทุกๆ มุมเท่าที่กล้องมือถือรุ่นล้าสมัย ไอโฟน 10 ของผมจะเก็บไว้ได้
ได้กราบ พระพุทธไสยาสน์ วัดพระเชตุพนฯ อย่างใกล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง และเนื่องจากเป็นการเปิดให้เข้าสักการะยามหัวค่ำเป็นคืนแรกผู้คนจึงไม่มากนัก สามารถถ่ายภาพได้ในทุกแง่มุมเช่นกัน…แต่ถ้าจะเน้นถึงความงดงาม คงต้องออกไปด้านนอกพระวิหารเพื่อถ่ายภาพอันวิจิตรตระการตาของพระมหาเจดีย์ 4 รัชกาลในยามราตรีเก็บไว้
และก็ได้ไปกราบสักการะ พระพุทธสิหิงค์ ณ พระที่นั่ง พุทไธสวรรย์ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และได้เดินชมความงามในยามราตรีที่ประดับไฟไว้อย่างวิจิตรเช่นกันเป็นของแถมส่งท้าย
นี่ขนาดผมไปแค่ 4 วัด กับ 1 พิพิธภัณฑ์ยังประทับใจขนาดนี้…ตั้งใจไว้ว่าปีใหม่ปีนี้จะไปตระเวนราตรีในอีก 6 วัดที่เหลือให้ครบถ้วนถ้าทำได้
อยากจะเชิญชวนพี่น้องชาวไทยไปร่วมงาน “วิจิตรอาราม” หรือ “อารามอร่าม 10 วัด” อย่างพร้อมเพรียงกันครับ
งานจะมีไปจนถึงวันที่ 2 มกราคม 2567 จากนี้ไปก็เหลืออีกแค่ 6 วันเท่านั้นเอง อย่ามัวโอ้เอ้วิหารรายนะครับ เดี๋ยวจะอดไปชื่นชมของดีและไม่รู้ว่าจะต้องรออีกนานเท่าใดถึงจะมีโอกาสดีๆ เช่นนี้.
“ซูม”