จีดีพีเป็นเรื่อง “สมมติ” แต่ “กู้เงิน” เป็นเรื่อง “จริง”

เมื่อตอนหนุ่มๆผมมีโรคประจำตัวอย่างหนึ่งคือโรค “หวาดระแวง” หรือโรค “ประสาทหลอน” เวลาไปเจอเรื่องอะไรๆ ที่ร้ายๆ หรือโหดๆ เข้าก็จะรู้สึกระแวง จดจำฝังใจไปนานแสนนาน

เช่น ผมเคยไปทำฟันอุดซี่ที่ผุ คุณหมอฟันท่านกรอโน่นกรอนี่รอบๆ ฟันผมอยู่พักใหญ่ เสียงดังแกรกกราก ทำให้ผมรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งฟันทั้งกราม…ต่อมาพอได้ยินเสียงอะไรแกรกกรากคล้ายการกรอฟัน ก็จะรู้สึกเสียวฟัน และหวั่นเกรงเสียงแกรกกรากที่ว่านั้น

อีกตัวอย่างหนึ่ง ปกติผมชอบกินน้ำพริกปลาทูสมัยเด็กๆ อยู่ที่บ้านนครสวรรค์ วันไหนแม่ทำน้ำพริกปลาทูให้จะกินข้าวได้แบบจานพูนๆ

แต่แล้ววันหนึ่งขณะมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ผมไปอยู่หอพักใกล้ๆ สลัมที่ล้อมรอบด้วยห้องแถวที่มีการผลิตอาหารและเครื่องปรุงบางอย่าง เช่น กะปิ น้ำปลา อยู่ 2-3 ห้อง ซึ่งมีอยู่ห้องหนึ่งเป็นโรงงานจัดเตรียม “กะปิ” ใส่กระปุกหรือไหเล็กๆ เพื่อไปจำหน่ายต่อ

ผมเห็นวิธีการบรรจุและผสมกะปิของเขาแล้วก็เกิดภาพหลอนขึ้นมาทันที เพราะคนงานใช้มือดุ้นๆ ไม่สวมถุงพลาสติกอะไรเลย จะสะอาดหรือไม่สะอาดก็ไม่รู้ ทำให้ผมไม่กล้ารับประทานกะปิอยู่หลายปี

แล้วโรคนี้ก็มาเกิดแก่ผมตอนเรียนหนังสือจบใหม่ๆ เข้าทำงานที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ถูกส่งตัวไปกำกับดูแลการจัดทำสำมะโนประชากร ที่จังหวัดอุดรธานีอยู่กว่า 6 เดือน

ไปเห็นวิธีการเก็บตัวเลขเก็บข้อมูลจากพนักงานจัดเก็บ ซึ่งสมัยนั้นเรียกว่าพนักงาน “แจงนับ” แล้วผมก็หลอนมาอีกหลายปี

เพราะเต็มไปด้วยการยกเมฆ…ไม่ได้ไปสำรวจ ไม่ได้ไปสัมภาษณ์ชาวบ้านเป้าหมายสักหน่อย แต่ก็เขียนคำตอบได้อย่างเป็นตุเป็นตะ

พวกผมซึ่งเป็น “ซุปเปอร์ไวเซอร์” ต้องตามล้างตามเช็ด…ซึ่งก็ล้างได้บ้างเช็ดไม่ได้บ้าง จำใจเซ็นรับรองผลการสำรวจเพราะไม่มีทางเลือก

ทำให้ผมกลายเป็นคน “หลอนตัวเลข” ของทางราชการมาโดยตลอด รวมทั้งเมื่อมาอยู่ สภาพัฒน์ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้ตัวเลข GDP ของเพื่อนๆ จากกองที่ทำหน้าที่จัดทำตัวเลข GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ…ก็จะใช้ด้วยความระมัดระวัง

แม้ผมจะเชื่อมือเพื่อนๆ กองบัญชีประชาชาติ ที่มีหน้าที่ในการจัดทำผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ ว่าได้ใช้ความพยายามดีแล้ว มีวิธีจัดเก็บและตรวจสอบที่ดีมาก…ในระยะหลังๆ แต่ผมก็จะบอกเพื่อนๆ ว่าขอโทษด้วยที่ผมยังไม่เชื่อเพื่อนสนิทนัก เพราะภาพฝังใจเก่าๆ ที่ตามหลอนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

ทุกวันนี้ผมก็ยังกลัวๆ อยู่ครับ ใครมาพูดเรื่องจีดีพีเพิ่มเท่านั้นนี้ หรือลดเท่านั้นเท่านี้ แม้ผมจะยอมรับและนำไปใช้เขียนหนังสือด้วย แต่ก็จะย้ำอยู่เสมอว่า อย่าเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะอย่างไรเสียก็ยังมาจากการคิดการคำนวณ และการประมาณการอยู่ดี

ประเทศไทยของเรายังมีอะไรที่อยู่นอกเหนือจีดีพีอีกมากมายนัก

ด้วยเหตุนี้ เมื่อผมมาได้ยินนักเศรษฐศาสตร์ของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นรัฐบาลในปัจจุบันกล่าวในทำนองว่าการแจกเงินดิจิทัลหัวละ 10,000 บาทแก่คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป จะก่อให้เกิดเงินหมุนเวียนเท่านั้นเท่านี้ และจะเพิ่มจีดีพีเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซ็นต์ คุ้มค่ามาก สำหรับเงินแจกทั้งหมด 5.6 แสนล้านบาท ผมจึงอดเป็นห่วงเป็นใยเสียมิได้

ผมยังปักใจเชื่ออยู่ครับว่า “จีดีพี” เป็น “เรื่องสมมติ” หรือคำนวณขึ้น ต่อให้คำนวณใกล้เคียงแค่ไหน ก็ยังเป็นเรื่องสมมติอยู่นั่นเอง

แต่การกู้เงินไม่ว่าคุณจะกู้แบบไหนจะเป็นของจริงเสมอๆ แม้แต่กู้ออมสินตามที่มีข่าวแว่วๆ อย่างไรก็เป็นของจริง เท่ากับคุณเป็น “ลูกหนี้” จริงๆ และวันใดวันหนึ่งก็จะต้องใช้หนี้นั้นจริงๆ

สำหรับชาวบ้านหรือบุคคลทั่วไป เมื่อไม่มีเงินใช้หนี้ก็จะถูกยึดทรัพย์สิน ยึดอสังหาริมทรัพย์ ตลอดจนข้าวของต่างๆ ใครไม่มีให้ยึดก็ถูกฟ้องล้มละลาย หรือไม่ก็ต้องหนีหายหลบเข้ากลีบเมฆไป

ประเทศชาติก็เช่นเดียวกัน กู้เกินตัว กู้แล้วไม่มีปัญญาใช้หนี้…ก็จะต้องกลายเป็น “ประเทศล้มละลาย” แถมจะโชคร้ายกว่าบุคคลธรรมดาทั่วไป เพราะหนีไปไหนไม่ได้ ต้องทนรับกรรมอย่างที่ชาติล้มละลายหลายๆชาติแสดงให้เห็นมาแล้ว

ก็ขอฝากให้คิดลึกๆ อีกสักครั้งในเรื่องของ “สิ่งสมมติ” กับเรื่องที่เป็น “ของจริง” ที่ผมหยิบยกมาเตือนสติในวันนี้

“สมมติ” น่ะผิดได้ แต่ “เรื่องจริง” ไม่มีวันผิด กู้เงินแล้วไม่มีใช้เขา ยังไงๆ ก็ล้มละลายวันยังค่ำ จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแต่ท่านเถิด คนประสาทหลอนอย่างผมก็แค่เป็นจิ้งจกร้องทักไปเท่านั้นเอง.

“ซูม”

จีดีพี, สมมติ, กู้เงิน, เรื่องจริง, ประเทศไทย, ประเทศล้มละลาย, เป็นหนี้, GDP, เศรษฐกิจ, การเมือง, สติ, นักเศรษฐศาสตร์, รับบาล, ข่าว, ซูมซอกแซก