เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้เอง มีการแชร์ภาพนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเที่ยวประเทศไทยชนิดแออัดยัดเยียดไปทั้งสนามบินสุวรรณภูมิไปตามโซเชียลต่างๆ
มีคนส่งมาที่ผมผ่านทางเฟซบุ๊ก…เห็นภาพแล้วก็รู้สึกปลื้มใจดีใจ เพราะมีความสุขใจอย่างบอกไม่ถูก
นี่แหละที่ครูบาอาจารย์ด้านสื่อสารมวลชนท่านสอนพวกเราไว้ว่า A picture is worth a thousand words ที่มีความหมายว่า ภาพ 1 ภาพ มีค่าเท่ากับคำพูด 1,000 คำ
คือเห็นภาพปุ๊บก็เข้าใจได้เลยไม่ต้องเสียเวลาแต่งประโยคแต่งคำพูดใดๆมาอธิบายอีกแล้ว…ว่า สนามบินสุวรรณภูมิช่วงนี้มีผู้โดยสาร ขาเข้าแน่นชนิดเบียดเสียดยัดเยียดกันขนาดไหน
ไม่ทราบว่าตัวเลขที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ทะลุเป้าไปแล้วแค่ไหนและปีหน้าฟ้าใหม่เราคาดการณ์เอาไว้อย่างไรบ้าง?
แต่เห็นจากภาพที่แชร์กันภาพนี้แล้วผมค่อนข้างมั่นใจว่าที่ผ่านมาทะลุเป้าแน่นอน และในอนาคตคือปีหน้าก็จะทะลุเป้าต่อไปอีก
ผมจึงใคร่ขอถือโอกาสนี้เขียนขอบคุณผู้ที่อยู่ในธุรกิจและกิจกรรมที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวทุกๆท่านทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงพี่น้องประชาชนชาวไทยที่ได้ช่วยกันสร้างประวัติศาสตร์ สร้างศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนอุปนิสัยใจคออันเป็นมิตรแก่ชาวโลก จนทำให้เราสามารถขายสินค้าว่าด้วย “การท่องเที่ยว” มาได้อย่างยั่งยืนและยาวนานถึงปัจจุบันนี้
ส่งผลให้ “ธุรกิจท่องเที่ยว” กลายเป็น “ยาปฏิชีวนะ” ที่มีฤทธิ์ มีสมรรถนะในการรักษา…สามารถช่วยเยียวยาเศรษฐกิจไทยให้ฟื้นตัวกลับมาได้ทุกครั้งที่เราเกิดภาวะเศรษฐกิจตกตํ่า
เมื่อวานผมเล่าถึงบรรยากาศวันลอยกระทงอันเงียบเหงาและเขย่าขวัญ ปี 2527 แต่สามารถพลิกฟื้นขึ้นจนกลายเป็นการลอยกระทงที่สนุกสนานครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เพียงชั่วเวลา 1 ปี จากการปฏิบัติ ตาม “มาตรการ 24 มาตรการเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ” หลังลดค่าเงินบาทตามดำริของป๋าเปรม นายกรัฐมนตรีที่สั่งการให้สภาพัฒน์ไปดำเนินการ
1 ใน 24 มาตรการนั้นก็คือ “การท่องเที่ยว” นี่แหละครับ
ทันทีที่ตัดสินใจใช้มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว คณะกรรมการชุดดังกล่าวก็เชิญท่านผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยมาหารือว่าจะทำอย่างไรดี?
ท่านผู้ว่าการถ้าจำไม่ผิดคือ ท่าน สมชาย หิรัญกิจ ท่านก็บอกว่า ทาง ททท.มีแผนการอยู่แล้วแต่ขาดเงินงบประมาณที่จะปฏิบัติตามแผนการที่ว่านี้
ดร.เสนาะ อูนากูล ในฐานะประธานคณะกรรมการกำกับและเร่งรัด 24 มาตรการ…ท่านก็นัดให้ท่านผู้ว่าฯ ททท.ไปพบกับท่านผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ บดี จุณณานนท์ ที่ห้องประชุมเล็กๆในห้องทำงานของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หนุ่มฟ้อหน้าใหม่เอี่ยมอ่องที่ชื่อ บัญญัติ บรรทัดฐาน ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลการท่องเที่ยว
ท่านบดีบอกว่ามีเงินงบกลางอะไรสักก้อนหนึ่งที่พอจะเจียดจ่ายมาใช้ได้ราวๆ 30 ล้านบาท…ซึ่งท่านผู้ว่าการ ททท.ก็บอกว่า แม้จะน้อย ไปหน่อยแต่ก็โอเค เอาไปเริ่มงานได้
อย่างเหลือเชื่อเงินงบประมาณ 30 ล้านบาท กลายเป็นกุ้งฝอยตกปลากะพง สามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวประเทศไทยอย่างล้นหลาม ไม่ใช่เพียงเฉพาะในปี 2528 เท่านั้น ยังดึงนักท่องเที่ยวได้เรื่อยมาตราบทุกวันนี้
อย่างที่ผมเขียนไว้วานนี้ว่า ตั้งแต่ 2528 มาจนถึงปีนี้ผ่านไปแล้ว 37-38 ปีเต็มๆ เศรษฐกิจประเทศไทยขึ้นๆลงๆ มีหลายครั้งเจ็บสาหัสเลือดตาแทบกระเด็น เช่น ในปี 2540…แต่เราก็ฟื้นมาได้
กลับไปดูเถอะพระเอกตัวจริงเสียงจริงก็คือ “ธุรกิจท่องเที่ยว” นี่เอง
ขอขอบคุณอีกครั้งนะครับ สำหรับผู้ที่อยู่ในทุกธุรกิจนี้ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ดังได้กล่าวไว้แล้ว…
โปรดช่วยกันดูแลรักษาตลอดไปนะครับ อย่าให้ทรัพยากรท่องเที่ยวเสื่อมโทรม อย่าไปเอาเปรียบนักท่องเที่ยว และที่สำคัญขอให้รักษาคำว่า “ยิ้มสยาม” และ “อุปนิสัยอันดีงาม” แบบไทยๆ ไว้ตลอดไป รับรองทำมาหากินได้อีกเป็นร้อยๆ ปีเลยครับกับธุรกิจนี้.
“ซูม”