ขอบคุณ “หมอดัง” ระดับชาติ “เบรก” กระแส “กัญชาฟีเว่อร์”

ผมเคยเขียนในคอลัมน์นี้ไว้แล้วเมื่อหลายๆ ปีก่อนว่า ผมเติบโตมาในยุคที่ “กัญชา” เป็นของผิดกฎหมาย เพราะเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง และได้รับการอบรมบ่มชี้ทั้งจากโรงเรียนและสังคมรอบตัวในทุกด้านว่า “กัญชา” คือ “ผู้ร้าย” ของประเทศไทย

สมัยผมเป็นเด็กๆ จะได้รับคำสั่งสอนว่า คนสูบกัญชามักเป็นพวก “บ้ากัญชา” ซึ่งก็มีตัวอย่างให้เห็นจริงอยู่ในตลาดบ้านผมนั่นแหละ เพราะมี “คนบ้า” คนหนึ่งชื่อ “นายเชื้อ” ที่ชาวบ้านเรียกว่า “ไอ้เชื้อบ้า”

เวลาที่แกไม่ได้สูบกัญชาจะหงุดหงิด หรือมีอาการลงแดง อาละวาดไล่ทุบตีผู้คน ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กไปทั่วตลาด แต่ก็จะหายเป็นปลิดทิ้งร้องลิเกได้อย่างไพเราะ เวลาได้ดูดไปสักบ้องสองบ้อง

พอผมโตขึ้นมาหน่อยก็มีเพลงฮิตเพลงหนึ่ง ฮิตไปทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะที่บ้านผมจะเปิดบ่อยๆและถี่ๆมาก เวลาจะมีการฉายภาพยนตร์แต่ละคืน…ชื่อเพลง “คนบ้ากัญชา” ครับ

มีเนื้อร้องท่อนหนึ่งว่า “ฉันบ้ากัญชาจนหูตาลาย…เห็นหมูโตเท่าควาย โอ้เดือนหงายเห็นเป็นเดือนคว่ำ” แสดงให้เห็นถึงความไม่ค่อยปกติของคนสูบกัญชา…แม้แต่หมูยังตัวโตเท่าควายไปได้

ผมเชื่อว่าไม่ใช่เฉพาะแต่ผมเท่านั้นที่ถูกชี้นำ ถูกครอบโดยสังคมไทย ผ่านการสื่อสารต่างๆ บ้าง ผ่านการบันเทิงบ้าง จนทำให้มองว่า “กัญชา” นั้นเป็น “ผู้ร้าย” ของสังคม…หรืออย่างเก่งก็เป็นแค่ “ตัวตลก” ที่สังคมล้อเลียนอย่างดูหมิ่นถิ่นแคลน ฝังเข้าสายเลือดมาจนถึงบัดนี้

ผู้คนที่เติบโตมาพร้อมๆ กับผม หรือรุ่นน้องๆ ผมไม่ต่ำกว่า 10 ปี ก็จะตกอยู่ภายใต้การชี้นำตามกรอบนี้เช่นกัน

ดังนั้น เมื่อจู่ๆ กัญชาจะกลายมาเป็น “พระเอก” และเป็น “กระแส” แห่งความหวังอันยิ่งใหญ่ของประเทศไทย ดังที่เป็นข่าวมาหลายปีแล้ว และมาโด่งดังสุดขีดในช่วงเวลา “ปลดล็อก” 2-3 วันนี้…คนรุ่นผมจึงรู้สึกยากที่จะยอมรับได้ง่ายๆ

แต่ก็จนใจที่ผมเองก็ไม่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ทั้งในเชิงวิชาการ หรือข้อเท็จจริงต่างๆ พอที่จะไปโต้เถียงได้…นอกเสียจาก “ความรู้สึก” และความ “เชื่อ” ที่ถูกเพาะบ่มมาตั้งแต่เด็กๆ ดังที่กล่าวไว้แล้ว

ผมจึงรู้สึกดีใจและขอบคุณ “คุณหมอ” 2 ท่านที่หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับเมื่อวานนี้นำมาพาดหัวหน้า 1 ว่า “หมอคัดค้านปลดล็อกกัญชา”-“ต่ำกว่า 20 ปีควรเลี่ยง…ทำจิตหลอนฆ่าตัว”

พร้อมกับรายงานไว้ในเนื้อข่าวด้านในว่า หมอท่านที่ 1 ก็คือ รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย… หรือ “แฝดพี่” ของท่านผู้ว่าฯ กทม. ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นั่นเอง

คุณหมอฉันชายกล่าวยาวพอสมควร ผมคงไม่สามารถคัดลอกมาลงคอลัมน์ได้…นอกจากจะสรุปว่าอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกๆ ฝ่ายลองไปหาอ่านกันดู และนำข้อคิดข้อเสนอของคุณหมอไปพิจารณาด้วยอย่างรอบคอบ

ประเด็นที่ท่านห่วงมากๆ ก็คือ การที่จะนำ “กัญชา” มาใช้เพื่อสันทนาการ (หรือการทำให้เกิดความสุขความสนุกสนาน) แค่อ้างข้อบ่งชี้ทางการแพทย์…เช่น อ้างว่าปวดหัวรู้สึกไม่สบาย…เพื่อจะหาเหตุนำยากัญชาไปรักษาเชิงสันทนาการ ซึ่งท่านคาดการณ์ว่าจะมีมากแน่ๆ

อีกคุณหมอหนึ่งได้แก่ ศ.นพ.สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัย กุมารแพทย์แห่งประเทศไทยครับ…ระบุว่าราชวิทยาลัยยังคงเป็นห่วงผลกระทบของกฎหมายกัญชาเสรี จะมีผลทำให้กลุ่มเปราะบางต่างๆ รวมทั้งเด็กและวัยรุ่นเข้าถึงกัญชาได้ง่ายขึ้น และจะมีปัญหามากขึ้น

นี่ก็เช่นกัน ท่านเสนอไว้อย่างละเอียดด้วยความห่วงใยในภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะการจะป้องกันไม่ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 20 เข้าถึงกัญชา ซึ่งในทัศนะของท่านยังอันตรายมากนั้น จะทำได้อย่างไร?

ผมขอขอบคุณทั้ง 2 “คุณหมอ” ที่กรุณาออกมาเบรก ออกมาติงด้วยความรักและความห่วงใยต่อกระแส “กัญชาฟีเวอร์” ในขณะนี้

ขอบคุณด้วยใจจริงครับ เพราะอย่างที่เรียนแล้วว่า ผมรู้สึกห่วงกังวลมาก แต่ไม่มีความรู้พอจะไปทัดทานหรือโต้แย้งกระแสนี้ได้…ก็ต้องอาศัยการติงการเบรกจากคุณหมอที่รู้จริงนี่แหละในการช่วยยับยั้งให้กระแสต่างๆ ทุเลาลง…และหันมาใช้สติ ใช้ปัญญากันให้มากขึ้น

ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะสายเกินแก้นะครับหมอหนู…แฮ่ม! อย่าลืมว่าเราน่ะเป็น “หมอกิตติมศักดิ์” นะครับ ต้องฟัง “หมอจริง” เขาติงให้มากที่สุดครับ.

“ซูม”

ข่าว, กัญชา, ยาเสพติด, หมอ, ซูมซอกแซก