ท่าน ดร.สุวจี กู๊ด ที่ปรึกษาด้านการส่งเสริมสุขภาพและปัจจัยสังคมกำหนดสุขภาพ นั่นเอง…ท่านทำงานอยู่กับ WHO มาหลายปี เข้าใจว่าผู้อ่านที่ติดตามข่าวด้านสาธารณสุขเป็นประจำคงจะคุ้นกับท่านพอสมควร
ดร.สุวจีได้กล่าวในการเสวนาทางออนไลน์เรื่อง “วัคซีนมาแล้ว…วัคซีนทางสังคมยังจำเป็นอยู่หรือไม่?” เกี่ยวกับผลกระทบของโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจและสังคมไทย เอาไว้อย่างน่าสนใจยิ่ง
ท่านเริ่มต้นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดี มีต้นทุนทางสังคมสูง มีรากเหง้าทางวัฒนธรรมที่ดีงามหลายๆประการ โดยเฉพาะเรื่องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เรื่องช่วยเหลือกัน และจิตอาสาต่างๆ
เมื่อเกิดการระบาด ระลอกแรก ผลจากการควบคุมโรคได้อย่างมีศักยภาพ ทำให้เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง ดำเนินไปด้วยดี และภูมิคุ้มกันทางสังคมก็สูงตามไปด้วย มีนวัตกรรมใหม่ๆ ในการช่วยเหลือกัน ระหว่างชุมชนเกิดขึ้นมากมาย
มาถึง ระลอกสอง เมื่อโรคเริ่มแพร่กระจาย มีผลกระทบมากขึ้น เกิดความไม่พอใจในสังคม มีการระบาดของข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนลดทอนความน่าเชื่อถือต่างๆ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต รายได้ทางเศรษฐกิจลดลง พร้อมกับภูมิคุ้มกันทางสังคมที่ค่อยๆอ่อนลงทุกวัน
ดังนั้น เมื่อมา ระลอกสาม สังคมไทยจึงเกิดอาการเหนื่อยล้า ภูมิคุ้มกันทางสังคมถูกกระแทกกระทั้นจากทั้งการระบาดของโลก และการระบาดของข้อมูลที่เรียกว่า cyberbullying ส่งผลให้เกิดภาวะซึมเศร้าจากการสูญเสีย นำไปสู่ความโกรธความสิ้นหวัง
แม้วัคซีน (ป้องกันโควิด) จะมาแล้ว แต่ถ้าตอนนี้สังคมไทยกำลังป่วยด้วยความไม่พอใจ ความแตกแยกทางความคิด…ความต้องการวัคซีนทางสังคมจึงยังเป็นสิ่งที่ต้องการ
จากนั้นท่านก็สรุปตอนท้ายว่า “วันนี้ WHO กำลังมองไทยในฐานะประเทศที่ต้องจับตามอง เพราะมีภาวะวิกฤติเรื่องอื่นๆ ที่เข้ามากระทบต่อการใช้มาตรการควบคุมโรคควบคู่ไปด้วย”
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับบทวิเคราะห์ของท่านทั้ง 3 ระลอกครับ เพราะได้อยู่ในเหตุการณ์มาด้วยตนเอง ยังจำบรรยากาศอันหอมหวานในช่วงเวลาที่เราประสบชัยชนะ ระลอกที่ 1 ได้ติดตา
ท่านนายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” เดินสายไปเยี่ยมสำนักพิมพ์ต่างๆ รวมถึง ไทยรัฐ เราด้วย…มาแสดงถึงความมั่นใจในการที่จะเดินหน้าทางเศรษฐกิจ หลังจากจัดการกับ “โควิด-19” อยู่หมัด
พวกเรายังเสนอให้ตั้ง ศูนย์บัญชาการด้านเศรษฐกิจ แบบเดียวกับ ศบค. ซึ่งท่านก็รับไปพิจารณาและตั้งขึ้นจริงๆ
มีแผนมีมาตรการเยียวยาออกมาชุดใหญ่
แม้เศรษฐกิจจะถอยลงไปหน่อยๆ แต่ก็เริ่มมีแววว่าค่อยๆ ฟื้นตัวคนไทยเริ่มออกเที่ยวโน่นเที่ยวนี่ภายในประเทศ
แต่แล้วพอเกิดระบาดระลอก 2 ระลอก 3 ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็น
อย่างที่เราเห็นอยู่ขณะนี้…การพ่ายแพ้ยับเยินต่อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่
นำไปสู่ความเจ็บป่วยอย่างหนักพร้อมๆ กันของเศรษฐกิจ…การเมือง และสังคมไทย ณ นาทีปัจจุบัน
ผมต้องขอขอบคุณล่วงหน้าที่ ดร.สุวจีบอกที่ประชุมเสวนาว่า WHO กำลังจับตามอง ซึ่งก็ตีความว่าคงอยู่ระหว่างศึกษาหาทางออกที่จะให้คำแนะนำช่วยเหลือ…หากค้นพบแล้วอย่าลืมให้คำแนะนำแก่ประเทศไทย, รัฐบาลไทย และพี่น้องประชาชนไทยด้วย จักขอบคุณยิ่ง
สำหรับรัฐบาลไทยจะหาทางออก หรือ “วัคซีนทางสังคม” เจอหรือไม่? คงต้องรอลุ้น เพราะนาทีนี้ปัญหาที่หนักหนากว่าโรคระบาดกำลังจะเกิดขึ้น…เห็นว่าวันพรุ่งนี้ (7 สิงหาคม) มีคำขู่ฟ่อๆ จากม็อบหลายกลุ่มว่าจะถึงขั้นแตกหัก
นี่แหละที่ท่านที่ปรึกษา WHO ท่านบอกว่าเมืองไทยเรามีปัจจัยหลายอย่างที่นอกเหนือไปจากโควิด-19 และแต่ละปัจจัยก็หนักหนาสาหัสทั้งสิ้น
สำหรับผมเวลานึกอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก ตามประสาคนไทยแก่ๆหัวโบราณ ก็จะยกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้ก่อน
ขอพระสยามเทวาธิราช อันทรงพลานุภาพ จงช่วยปกปักรักษาประเทศไทยอันเป็นที่รักของเราให้ผ่านพ้นจาก “โรคร้าย” ทุกๆ โรคที่รุมเร้าอยู่ในขณะนี้…เพี้ยง! ขอให้ผ่านไปด้วยดีด้วยเทอญ.
“ซูม”