ฤดูร้อนมาถึงทีไร…แน่นอนว่าทะเลคงเป็นจุดหมายแรกที่หลายคนนึกถึงแต่สำหรับใครที่หลงรักธรรมชาติอยากหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ นอกจากทะเลแล้วล่ะก็วันนี้เราจะพาทุกคนมาเที่ยวที่ “อุทยานแห่งชาติกุยบุรี” จ. ประจวบคีรีขันธ์ หนึ่งในผืนป่ามีความอุดมสมบูรณ์ที่สุดของประเทศ
ที่มาของ กุยบุรีโมเดล ต้นแบบการอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยระหว่างคน–ช้างป่า และยังได้รับฉายาว่า
กุยบุรี ซาฟารีของเมืองไทย
การผจญภัยศึกษาเส้นทางธรรมชาติของเราในครั้งนี้เรามีโอกาสเดินทางสัญจรไปกับ “สยาม ไวเนอรี่” ซึ่งนายวาริท อยู่วิทยา รองกรรมการผู้จัดการ ได้น้อมนำพระราชดำริของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชดำเนินโครงการฟื้นฟูผืนป่ากุยบุรี ร่วมมือกับภาครัฐแบบบูรณาการในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
อีกทั้งยังมีส่วนร่วมในการก่อตั้งเครือข่ายองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรีอย่างต่อเนื่องและเต็มรูปแบบ จนเป็นที่มาของ “กุยบุรีโมเดล” ทริปนี้เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงกรมอุทยานแห่งชาติกุยบุรีประมาณ 4 ชั่วโมง ว่าแล้วก็อย่ารอช้า เตรียมกล้องถ่ายรูปให้พร้อมแล้วไปผจญภัยดูสัตว์ป่าที่กุยบุรีด้วยกัน…
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี มีพื้นที่ครอบคลุมทั้ง อำเภอปราณบุรี อำเภอสามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี อำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ ของ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เป็นป่าต้นน้ำลำธาร มีทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญหลากหลาย ทั้งพันธุ์ไม้ สัตว์ป่า หายากหลายชนิด ด้วยความที่ผืนป่ามีความดิบแล้ง และดิบชื้นที่อุดมสมบูรณ์ จึงทำให้ที่นี่มีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
สำหรับวิธีการท่องเที่ยวดูสัตว์ป่าที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรีนั้นต้องเปลี่ยนรถไปยังไปยังรถกระบะที่ชมรมท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สัตว์ป่ากุยบุรีเตรียมไว้ให้เท่านั้น (โดยทางอุทยานแห่งชาติกุยบุรีไม่อนุญาตให้ขับรถส่วนตัวเข้าไปเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว) ซึ่งการผจญภัยของเราครั้งนี้เราได้พบกับไกด์กิตติมศักดิ์ที่จะพาไปศึกษาธรรมชาติพี่บุญลือ พูลนิล นักวิชาการป่าไม้ชำนาญการ อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติกุยบุรี และ พี่เจษ (นายเจษฎาคมน์ ยงใจยุธ) ผู้จัดการฝ่ายบริหารความรับผิดชอบต่อสังคม ของสยาม ไวเนอรี่ ระหว่างการเดินทางนั่งรถชมสัตว์ป่า พี่บุญลือก็ได้อธิบายถึงที่มา ความร่วมมือกันของภาครัฐและเอกชนในการฟื้นฟูอุทยานแห่งชาติกุยบุรีให้เราเข้าใจมากยิ่งขึ้น
“ย้อนกลับไปเมื่อ 20 กว่าปีที่แล้วภาพของผืนป่ากุยบุรีที่เราเห็นในปัจจุบันมีความแตกต่างจากสมัยก่อนโดยสิ้นเชิงเนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าและจำนวนของสัตว์ป่าที่ผืนป่าแห่งนี้ยังมีไม่มากนักทั้งยังเจอปัญหาความขัดแย้งและการเผชิญหน้าระหว่างคนและช้างป่าเรื่อยมามีช้างป่าถูกฆ่าตายหลายตัวขณะที่ชาวบ้านบางคนก็ถูกช้างป่าทำร้ายความนี้หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงทราบและมีพระราชดำรัส เรื่อง การจัดการความขัดแย้งระหว่างคนกับช้างป่า อุทยานแห่งชาติกุยบุรี เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2542 จึงเป็นที่มาของการน้อมนำพระราชดำรัส เกิดเป็นความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนต่างๆ ในการร่วมอนุรักษ์สัตว์ป่า”
ในส่วนของภาคเอกชน สำหรับการดำเนินงานของ กลุ่มบริษัท สยาม ไวเนอรี่ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายไวน์และเครื่องดื่มของไทย พี่เจษเล่าให้ฟังว่า “บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการทั้งด้าน อนุรักษ์และฟื้นฟูแปลงหญ้าอาหารสัตว์ จัดทำแปลงหญ้าจำนวน 300 ไร่ การทำโปร่งเทียม ตลอดจนสร้างกระทะน้ำ เพื่อใช้เป็นแหล่งน้ำให้กับสัตว์ป่า โดยเฉพาะในหน้าแล้ง ไม่เพียงแต่เห็นความสำคัญของผืนป่าเท่านั้น
การสนับสนุนการทำงานของเจ้าหน้าที่ ก็เป็นหัวใจสำคัญ จึงได้มีการสนับสนุนมอบอุปกรณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งดูแลความปลอดภัยให้กับสัตว์ป่าโดยการมอบรางวัลนำจับแก่เจ้าหน้าที่ที่จับกุมผู้ลักลอบล่าสัตว์ป่า จึงมีส่วนช่วยทำให้สัตว์ป่ามีจำนวนที่เพิ่มขึ้น และทำให้ระบบนิเวศที่เกื้อกูลกันกลับมาคงความสมบูรณ์อีกครั้ง โดยปัจจุบันผืนป่ากุยบุรี เราพบช้างป่าที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2559 จนถึงปัจจุบันมากกว่า 237 ตัว และกระทิงไม่ต่ำกว่า 300 ตัว คาดว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีกในอนาคต
ในส่วนของชุมชนที่อยู่ในพื้นที่นั้น ทางบริษัทฯ ได้ตระหนักและเห็นถึงความสำคัญไม่แพ้กัน เราได้สนับสนุนทุนทรัพย์การจัดกิจกรรมต่างๆ ของชุมชนในท้องที่ เช่น กิจกรรมวันช้างไทย, การจัดงานวันอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ”
สำหรับกิจกรรมนั่งรถชมสัตว์ป่าที่เรากำลังเดินทางไปผจญภัยอยู่นั้น พี่วิทยากรแนะนำกับเราว่าช่วงเวลาที่เราจะได้ใกล้ชิดเห็นสัตว์ป่ามากที่สุดคือช่วงเวลา ตั้งแต่ 16.00 – 17.00 น. ซึ่งก็คือช่วงเวลาเดียวกันที่เรากำลังเดินทางอยู่ในตอนนี้ ตลอดการเดินทางเราจะได้เห็นช้าง และ กระทิง เป็นหลัก นอกจากนี้ยังเห็นสัตว์ป่าอื่นๆ อีกด้วย เช่น วัวแดง กวางป่า นกเงือก เป็นต้น ซึ่งสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และถ่ายรูปได้อย่างใกล้ชิดกันเลยทีเดียว เรายังได้แวะจุดชมสัตว์ป่าที่ทางอุทยานได้จัดเตรียมไว้ให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย แต่จะต้องงดการพูดคุยเสียงดัง และห้ามเปิดแฟลชกล้องถ่ายรูปนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสัตว์ป่า และเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวเองด้วยค่ะ
แอดเวนเจอร์นั่งรถชมสัตว์กันไปแล้ว สายแคมป์ปิ้งที่อยากจะพักผ่อนใกล้ชิดธรรมชาติ ที่นี่ก็มีลานกางเต็นท์อุทยานฯ ให้บริการนักท่องเที่ยว ค่าเช่าเต็นท์คนละ 250 บาท แต่ถ้าใครนำเต็นท์มาเองจะเสียค่ากางเต็นท์เพียงคนละ 30 บาท (ยังไม่รวมค่าบริการค่าเข้าชมอุทยาน 40 บาท และค่ายานพาหนะ 30 บาท)แถมยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอด 24 ชม. รับรองว่าปลอดภัยแน่นอน
สำหรับใครที่หลงรักธรรมชาติแต่เบื่อทะเลอยากเปลี่ยนบรรยากาศเข้าป่าชมสัตว์ใกล้ชิดกับธรรมชาติไม่ไกลจากกรุงเทพฯปักหมุดตามเรามาที่อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ได้เลยค่ะ รับรองว่าถูกใจนักเดินทางคนรักธรรมชาติ สายแอดเวนเจอร์ และคนที่ชื่นชอบถ่ายรูปอย่างแน่นอน