“วิกฤติ” ที่ร้ายกว่า “โควิด” เราจะผ่านไปได้อย่างไร ?

ผมขอกลับไปเขียนถึงโฆษณาสร้างสรรค์ให้กำลังใจคนไทยของ ปตท. ที่ผมเขียนแสดงความชื่นชมไว้ในคอลัมน์นี้เมื่อฉบับวันอังคารที่ผ่านมาอีกสักครั้งนะครับ โฆษณาที่อยู่บนหน้า 1 ของ “ไทยรัฐออนไลน์” และพาดหัวตัวโตๆไว้ว่า “ไม่มีวิกฤติไหนที่คนไทยเอาชนะไม่ได้” กล่าวถึงคุณสมบัติอันดีงามของคนไทยที่สามารถเอาชนะวิกฤติมาได้ทุกครั้งในอดีตกาล

เพราะ “คนไทยสร้างสรรค์”, “คนไทยคิดค้น”, “คนไทยช่วยเหลือกัน” ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นคนไทยก็ยัง “ยิ้มสู้”…ฯลฯ

เหตุที่ผมต้องหยิบโฆษณาชิ้นนี้มาเขียนถึงอีกครั้งก็เพราะในครั้งที่แล้วผมเขียนไว้เฉพาะวิกฤติโควิด-19 ซึ่งนำความเดือดร้อนมาสู่คนไทยใน 2 ประเด็นคือ การแพร่ระบาดของโรคที่นำไปสู่การสูญเสียชีวิตและการสูญเสียทางเศรษฐกิจจากมาตรการชัตดาวน์ต่างๆ

ผมจบลงแค่ 2 ปัญหานี้ โดยลืมไปว่า เรายังมีอีกปัญหาหนึ่งที่ยิ่งใหญ่และเป็นวิกฤติของชาติไม่น้อยกว่ากัน

วิกฤตินี้เพาะบ่มมานานพอสมควร และค่อยๆ ปรากฏชัดแจ้งขึ้นก่อนโควิด-19 ระบาด…จนแม้ในช่วงระบาดหนักทั้ง 2 ช่วง วิกฤตินี้ก็มิได้ผ่อนคลายลง กลับแรงขึ้นเสียอีกด้วยซํ้า

วิกฤติม็อบของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เรียกตนเองว่า “ม็อบราษฎร” นั่นแหละครับ…อาจจะมีหลายชื่อ หลายกลุ่ม แต่ทุกกลุ่มมาจากต้นตอเดียวกัน และจากแกนนำจำนวนหนึ่งที่ผลัดกันไปนำในกลุ่มโน้นกลุ่มนี้

รวมทั้งเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ หลังจากผมส่งต้นฉบับไปแล้วก็มาในชื่อของกลุ่ม “REDEM”…ตั้งต้นจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เดินมาที่ถนนวิภาวดีรังสิตเพื่อประท้วง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีที่มีบ้านพักอยู่ในบริเวณ ร.1 ทม.รอ.

จบลงด้วยการปะทะอย่างรุนแรง มีบาดเจ็บหลายสิบราย รวมกันทั้ง 2 ฝ่าย และต้องบอกว่ามีล้มตายด้วย 1 ราย (เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย)

ลงท้ายมีการจับกุมตัวผู้ก่อเหตุไปประมาณ 20 ราย ซึ่งข่าวล่าสุดแจ้งว่า ศาลให้ประกันตัวไปทั้งหมดแล้ว

นี่คือวิกฤติสำคัญวิกฤติหนึ่งที่ผมตกหล่นไป มิได้กล่าวถึงในข้อเขียนครั้งที่แล้ว…ขออนุญาตนำมาบันทึกไว้ด้วยเพื่อให้ครบถ้วน

ว่าไปแล้ววิกฤตินี้อาจจะใหญ่หลวงกว่าวิกฤติทางด้านโรคร้ายและเศรษฐกิจด้วยซํ้า เพราะยังมองไม่เห็นทางออกว่าจะแก้ไขอย่างไร?

เพราะเป็นวิกฤติทางความคิด ความเชื่อ ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ยากที่จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกเชื่อในสิ่งที่ฝ่ายตนเชื่อถือเชื่อมั่นลงได้

อย่างเช่นผมจะไม่มีวันเลิกเชื่อในสิ่งที่ผมเชื่อและมั่นใจมาตลอดว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์” คือ แกนหลักของชาติที่ทำให้เราผ่านวิกฤติอื่นๆ มาได้ทุกครั้งในอดีต จนประเทศของเราเดินมาถึงวันนี้

และผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน้องๆ เยาวชนรุ่นหลังจำนวนมาก ซึ่งโดนยุยง โดนปั่นสมองผ่านโซเชียลมีเดียมายาวนานก็คงจะเชื่อในข้อมูลผิดๆ ที่น้องๆ ได้รับจนยากจะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นอย่างน้อยก็ในนาทีนี้

เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายต่างก็เชื่อไปคนละแบบเช่นนี้ จึงกลายเป็นวิกฤติที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งว่า เราจะผ่านไปได้หรือไม่อย่างไร?

โดยภาพรวมผมมั่นใจว่า คนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ยังเชื่อมั่นในสถาบันพระมหากษัตริย์และพร้อมที่จะปกปักรักษาไว้สุดชีวิต

แต่ผมก็ไม่อยากที่จะเห็นว่า วิกฤตินี้จบลงด้วยการเสียเลือดเนื้อและชีวิตใดๆ เพราะไม่ว่าใครจะอยู่ฝ่ายไหน…ต่างก็เป็นคนไทยด้วยกัน เป็นพี่กันน้องกัน เป็นญาติกันทั้งสิ้น

อีกครั้งหนึ่งที่คนแก่อย่างผมคงไม่มีสติปัญญาที่จะเสนอแนะทางออกใดๆ เพื่อการแก้ไขวิกฤติในเรื่องนี้

นอกเสียจากหันไปปฏิบัติตามคำสั่งสอนของปู่ย่าตายายของผมที่เคยสอนไว้ว่า “ลูกเอ๋ย หลานเอ๋ย เมืองไทยของเราไม่มีวันอับจน ไม่มีวันตกต่ำหรอกลูก เพราะเรามีพระสยามเทวาธิราชทรงคุ้มครอง…ขอให้นึกถึงท่านไว้กราบบูชาท่านไว้”

ข้อนี้มิได้อยู่ในคุณสมบัติอันดีงามของคนไทยที่ ปตท.นำเสนอไว้ในโฆษณา…แต่เป็นข้อที่ผมเชื่อของผมโดยส่วนตัวมาตลอด

ผมกราบบูชาท่านแล้วครับ และจะกราบทุกคืนก่อนนอน…ขอได้โปรดช่วยดลบันดาลให้ประเทศไทย อันเป็นที่รักยิ่งของเราทุกคน ผ่านวิกฤติที่ใหญ่หลวงกว่าโควิด-19 ดังกล่าวนี้ไปได้สมมาดปรารถนา จงทุกประการในที่สุดเทอญ.

“ซูม”

ข่าว, วิกฤติ, ประท้วง, ชุมนุม, REDEM, โควิด 19, สถาบันพระมหากษัตริย์, ซูมซอกแซก