นึกแล้วเชียวว่า “ข่าวร้าย” จะต้องเกิดขึ้น เพราะความประมาทเลินเล่อ และเพราะความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของคนไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่คำนึงถึงความเสียหายใหญ่หลวงต่อประเทศชาติเป็นส่วนรวม
หลังจากได้ยินข่าว “เล่าลือ” ว่ามีการรับจ้างลักลอบพา “แรงงานต่างด้าว” จากภาคตะวันตกของประเทศไทยข้ามมาตามช่องทางธรรมชาติ หัวละ 5 พันบาทบ้าง หัวละหมื่นบาทบ้าง มานานนับเดือน
ผมก็นั่งภาวนาอยู่ตลอดขออย่าให้เป็น “ข่าวจริง” หรือ “เรื่องจริง” ขึ้นมาเลย…ให้มันเป็นแค่ “ข่าวลือ” เท่านั้นเถอะ
เพราะจากตัวเลขที่เชื่อถือได้ และใช้อ้างอิงกันทั่วโลกของ มหาวิทยาลัยจอห์น ฮ็อปกินส์ ระบุว่าที่ เมียนมา เพื่อนบ้านประตูรั้วติดกันด้านตะวันตกของเรานั้นมีผู้ติดเชื้อใหม่หนักหนาสาหัสมาก
วันละพันกว่าคนทุกวัน…เฉียดๆ 2 พันคนก็หลายครั้ง จนยอดสะสมแค่ไม่กี่เดือนทะลุหลักแสนเข้าไปแล้ว น่าสะพรึงกลัวเป็นที่สุด
ผมก็เป็นห่วงว่าถ้าข่าวลือเรื่องลักลอบเข้าประเทศไทยเป็นความจริง ปล่อยให้แรงงานเมียนมาเข้ามาได้อย่างลอยนวล ผ่านช่องทางธรรมชาติต่างๆ โดยไม่มีการกักตัว 14 วันจริง…ย่อมจะมีแรงงานเมียนมาที่ติดเชื้อจากประเทศเขาหลุดเข้ามาด้วยเป็นจำนวนมาก
โอกาสที่จะมีการระบาด “รอบสอง” ในบ้านเราก็จะสูงมากขึ้น
ต่อมาได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่เชียงราย กรณีสาวไทยที่ไปทำงานในสถานบันเทิงที่จังหวัดท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า ลักลอบกลับเข้าประเทศไทยที่ อ.แม่สาย และมีการติดเชื้อด้วย…ผมก็ชักเริ่มใจเสีย
เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันว่า ข่าวการลักลอบขนผู้คนที่ชายแดนด้านติดกับพม่าโดยไม่ผ่านด่านของทางราชการนั้น…เป็น เรื่องจริง! มิใช่ “ข่าวลือ” อีกต่อไป
แต่ก็ยังโชคดีที่เหตุการณ์ “ท่าขี้เหล็ก” และ “แม่สาย” มีผู้เกี่ยวข้องอยู่ในจำนวนจำกัด และทางฝ่ายสาธารณสุขสามารถติดตามสอบสวนโรคได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้…
จนกระทั่งมาถึงเมื่อค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา ขณะที่ผมนั่งรอดูโทรทัศน์ช่อง PPTV เขาเตรียมการถ่ายทอดสดฟุตบอลเยอรมัน อยู่ดีๆ ก็มีประกาศด่วนที่สุดของสำนักนายกรัฐมนตรีเข้ามาขัดจังหวะ
กลายเป็นแถลงการณ์จากท่านอธิบดีกรมควบคุมโรคติดต่อ และท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครแจ้งข่าวร้ายว่า ผลการตรวจผู้เกี่ยวข้อง ภายหลังมีข่าวหญิงวัย 67 ปี เจ้าของแพกุ้งติดเชื้อรายแรกเมื่อ 2-3 วันก่อนพบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติมถึง 516 ราย ในช่วงเย็นๆ ของวันเสาร์ที่ว่า
ดูเถอะจากวันแรกๆ พบเฉพาะในกลุ่มวงศาคณาญาติและผู้ใกล้ชิดของหญิงรายนี้แค่ 4-5 คนเท่านั้น ค่อยๆ กลายเป็น 13 คนในวันถัดมา เสร็จแล้วจู่ๆ พบใหม่ถึง 516 ราย ทำให้รวมยอดสะสมผู้ติดเชื้อในจังหวัดสมุทรสาครทั้งสิ้นกลายเป็น 548 ราย ขณะแถลงข่าว
ไม่มีทางเลือกอะไรอีกแล้วครับ นอกเสียจากจะต้อง “ล็อกดาวน์” ปิดจังหวัดสมุทรสาคร 14 วัน ไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม
จะไม่ให้ผม “ช็อก” ได้อย่างไรล่ะ
แม้จะมีการสั่งล็อกดาวน์ปิดจังหวัดสมุทรสาครไปแล้ว…แต่ก่อนหน้านั้นใครจะรู้ล่ะผู้ติดเชื้อทั้งแรงงานต่างด้าวและพี่น้องชาวท้องที่ได้มีการเดินทางไปสู่จังหวัดอื่นสักกี่มากน้อย
ถ้าจะว่าไปสมุทรสาครหรือมหาชัยวันนี้ก็เหมือนส่วนหนึ่งของ กทม.เข้าไปแล้ว คนมหาชัยมาทำงานใน กทม.จำนวนมาก และคน กทม.ก็ไปทำงานตามโรงงานต่างๆ ในมหาชัยไม่น้อยเช่นกัน
จะมั่นใจได้อย่างไรว่าโควิดจะไม่ระบาดเข้าสู่ กทม.
ครับ! หลังจากผมช็อกแล้ว, ดูบอลไม่สนุกแล้ว, แถมด้วยการโกรธและแช่งชักด่าทอกลุ่มมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ขนแรงงานเข้ามาอย่างผิดกฎหมายไปแล้ว…ก็คงต้องหันมาตั้งสติละครับ
ขอให้กำลังใจพี่น้องประชาชนชาวสมุทรสาครและจังหวัดใกล้เคียงรวมถึงพวกเราชาว กทม. ที่ใกล้เคียงที่สุด จงตะโกนคำว่า “สู้โว้ย” แบบน้องอรนักยกน้ำหนักทีมชาติไทยในอดีต…อีกสักครั้ง
ยกการ์ดขึ้นสูงสุด/สวมหน้ากาก 100 เปอร์เซ็นต์เมื่อออกนอกบ้าน/พกแอลกอฮอล์ติดตัวเพื่อล้างมือให้บ่อยที่สุด/และพยายามรักษาระยะห่างกับคนอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
รวมทั้งอย่าลืมสวดมนต์ด้วยนะครับ…ผมหวั่นเหลือเกินว่าระลอกนี้จะแรงมาก คงต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมากกว่า
ระลอกที่ผ่านมา.
“ซูม”