ผมอ่านบทสัมภาษณ์ของท่านรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย ในหน้าเศรษฐกิจไทยรัฐ ฉบับเมื่อวานนี้แล้ว ก็รู้สึกเห็นด้วยอย่างยิ่ง…ขออนุญาตนำมาแชร์ต่อในวันนี้นะครับ
คงจะทราบกันดีแล้วว่าในระหว่างจัดทำแผนฟื้นฟูและเตรียมเสนอแผนต่อศาลอยู่ในขณะนี้นั้น…การบินไทยได้หันมาทำธุรกิจโน่นนี่นั่นอุตลุดไปหมด
แต่ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นธุรกิจเล็กๆ เมื่อเทียบกับฐานะที่เคยยิ่งใหญ่ของการบินไทย เช่น การขาย “ปาท่องโก๋”, การเอาวัสดุเหลือใช้มาทำ กระเป๋าเดินทาง, การเปิดร้านอาหาร ฯลฯ เป็นต้น
รวมทั้งจัดเที่ยวบินพิเศษเพิ่มรายได้ในโครงการ “มงคลบนฟากฟ้าผ่าน 99 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ใน 31 จังหวัด” โดยไม่ลงจอด แต่จะบินวนไปสวดมนต์ไปบนท้องฟ้า เพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต นำสวดโดย อาจารย์ คฑา ชินบัญชร เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ที่มีข่าวว่าคนจองที่นั่งจนแทบจะเต็มหรือป่านนี้อาจเต็มไปแล้วก็ได้
จากสายการบินที่มีธุรกิจเป็นแสนล้านบาท และจากบริษัทที่เคยมีรายได้จากการบินและธุรกิจต่างๆเดือนละ 10,000 ล้านบาท มาทำธุรกิจเตาะแตะอย่างที่ว่า…เมื่อไร จะมีเงินก้อนใหญ่ไปใช้หนี้เขาได้ล่ะ?
คุณ สุรางค์ อยู่แย้ม ผู้สื่อข่าวไทยรัฐ ก็สงสัยเหมือนที่คนไทยส่วนใหญ่ สงสัย…จึงไปสัมภาษณ์ คุณ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทการบินไทยฯ…และได้คำตอบมาว่า
“มีคนถามผมบ่อยมากต้องขายปาท่องโก๋กี่แสนตัวถึงจะล้างหนี้ได้…ผมก็ตอบว่าที่ขาย เพราะเราจะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ต้องพยายามสู้เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงาน และในความเป็นจริงกำไรจากการขายปาท่องโก๋ 1 วัน ใน 7 โลเกชันที่เราวางจำหน่ายอยู่นั้น มีกำไรเท่ากับการทำการบิน 1 เที่ยวบินเชียวนะครับ…”
คุณชาญศิลป์ระบุรายละเอียดด้วยว่า ปาท่องโก๋การบินไทยขายชุดละ 50 บาท ใน 7 สาขา ได้แก่ สาขาสีลม, ดอนเมือง, วิภาวดีรังสิต, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หลานหลวง และที่ตึกเอ็มโก้ ปตท.สำนักงานใหญ่นั้น มีผลผลิตอยู่ที่ 20,000 ตัวต่อวัน ยอดขายประมาณเดือนละ 10 ล้านบาท
มีเป้าหมายที่จะขยับยอดผลิตให้ได้ 40,000 ตัวต่อวัน เพื่อให้ทันต่อความต้องการและเพื่อเป็นการเพิ่มยอดรายได้ขึ้นด้วย
รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ฯ ยํ้าว่ารายได้จากธุรกิจใหม่อื่นๆ อยู่ในระหว่างทำแผน ถือเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู
แต่ในระยะสั้นๆ หรือเฉพาะหน้า ท่านกำลังมองไปถึงการขายแฟรนไชส์ปาท่องโก๋ ร้านอาหารการบินไทย ลานไวน์ รับลมหนาว ที่สำนักงานใหญ่วิภาวดี รวมไปถึงการเปิดให้เช่าอาคารที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์
“มาถึงวันนี้ผมมั่นใจว่าเราจะเดินหน้าต่อไปได้ การบินไทยจะกลับมาอีกครั้ง แต่ระหว่างนี้เราจะไม่หมิ่นเงินน้อย…ไม่คอยวาสนา”
นี่คือประโยคทิ้งท้าย การให้สัมภาษณ์ที่ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร สรุปกับผู้สื่อข่าวเศรษฐกิจไทยรัฐ และเป็นประโยคที่โดนใจผมจนต้องหยิบมาขยายต่อในวันนี้
วลีที่ว่าจะไม่หมิ่นเงินน้อย ไม่คอยวาสนานั้น มาจากภาษิต “หัวใจเศรษฐี” ที่ว่า “อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา” นั่นเอง
คนที่ยึดมั่นในภาษิตนี้เป็นเศรษฐีมามากแล้ว ผมก็หวังว่าหากการบินไทยซึ่งเคยเป็นเศรษฐีและบัดนี้กลับมาเป็น “ยาจก” หนี้สินล้นพ้นตัว หันมายึดมั่นในภาษิตนี้อย่างจริงจัง ดังที่รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ให้สัมภาษณ์ไว้ โอกาสที่จะพื้นคืนชีพมาได้อีกครั้ง คงพอมีละน่า
ผมกับท่านรักษาการฯ ชาญศิลป์ ตรีนุชกร รู้จักคุ้นเคยอย่างดียิ่ง เคยสัมภาษณ์พูดคุยกันหลายสิบครั้งเมื่อครั้งที่ท่านดำรงตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ ปตท. ที่ผมมักเรียกท่านติดปากว่า “ผู้ว่า ปตท.”
นึกว่าท่านเกษียณจาก ปตท.แล้วจะได้พักผ่อนหย่อนใจมีความสุขเหมือนคนอื่นๆ เขาบ้าง กลับต้องมานั่งหัวฟูวางแผนขาย “ปาท่องโก๋” ให้การบินไทยเสียนี่
แต่ก็ดีไปอย่างนะครับ ท่านผู้ว่าฯ ตอนอยู่ ปตท.ก็ “ขายกาแฟ” ในแบรนด์ “อะเมซอน” จนโด่งดังมาแล้ว พอมาอยู่การบินไทยได้ขาย ปาท่องโก๋ ซึ่งต่อไปอาจจะเป็นแฟรนไซส์โด่งดังอีกก็ได้ใครจะรู้
ถือว่าชีวิตนี้ได้ทำงานครบวงจรครับ–เพราะ “กาแฟ” กับ “ปาท่องโก๋” เป็นของคู่กัน.
“ซูม”