วันนี้ 30 กันยายน 2563 เป็นวันส่งท้ายปีเก่าสำหรับปีงบประมาณ 2563 ครับ เพราะอย่างที่เราทราบ ปีงบประมาณจะเร็วกว่าปี ปฏิทิน 3 เดือน
ปีงบประมาณ 2563 จะสิ้นสุดลง หรือส่งท้ายปีเก่ากันในวันนี้ แต่ปีปฏิทิน 2563 จะไปสิ้นสุด 31 ธันวาคม หรืออีก 3 เดือนข้างหน้าโน่น
แต่เนื่องจากวันสิ้นปีงบประมาณของแต่ละปีถือเป็นวันสุดท้ายของการทำงาน หรือการเป็นข้าราชการประจำสำหรับข้าราชการที่มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ หรือเกินมาบ้างจนได้แถมจำนวนหนึ่ง ตาม พ.ร.บ.บำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ.2494 ที่ยังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้
ผมจึงขอถือโอกาสใช้คอลัมน์วันนี้เขียนถึงข้าราชการที่จะปลดเกษียณซึ่งผมไม่แน่ใจว่ากี่พัน กี่หมื่น หรือกี่แสนคน เมื่อรวมกันเข้าทุกกระทรวงและทุกประเภททั่วประเทศ
แต่ที่แน่ๆ ปีนี้มีข้าราชการดังๆทั้งฝ่ายทหาร ตำรวจและพลเรือน ปลดเกษียณกันหลายคน และมีการเลี้ยงอำลาอาลัยดังที่เป็นข่าวในสื่อมวลชนต่างๆ ไปแล้ว
เมื่อสัก 30 ปีก่อน วันปลดเกษียณเป็นวันเศร้าของข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะข้าราชการที่เคยมีอำนาจ วาสนา มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ เพราะดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ
เพราะในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งอยู่ จะมีผู้คนห้อมล้อมและส่งเสียงสรรเสริญเยินยออยู่แทบทุกวัน รวมทั้งบางครั้งก็จะจัดลาภ ทั้งควรได้และ มิควรได้มามอบให้ด้วยเป็นเนืองนิจ
แต่พอขาดจากความเป็นข้าราชการปุ๊บ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเหือดหายปั๊บไปทันที
ทำให้ข้าราชการเหล่านี้ปรับตัว ปรับใจไม่ทัน เกิดอาการฝ่อ เกิดอาการท้อถอยจนตรอมใจ มีโรคนั่นโรคนี่แทรกจำนวนมาก
แต่ในยุคหลังๆ เมื่อบ้านเมืองมีการเลือกตั้ง มีประชาธิปไตยครึ่งใบบ้าง เต็มใบบ้าง มีนักการเมืองผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาบริหารประเทศ
ทำให้อำนาจที่แท้จริงกลายเป็นของนักการเมือง ในขณะที่ข้าราชการประจำที่เคยยิ่งใหญ่ มีอำนาจสูงมากในยุคก่อนต้องไปอยู่ใต้ฝ่ายการเมืองจนอึดอัดไปตามๆ กัน
ข้าราชการประจำยุคนี้จึงแทบไม่ต้องปรับตัว ปรับใจอะไรเลย แถมจะรู้สึกยินดีด้วยซํ้าที่จะเกษียณอายุ เพราะจะได้พ้นจากพงหนามต่างๆ ที่นักการเมืองนำมาครอบคลุมไว้
วันนี้ใน พ.ศ.นี้จึงกลายเป็นวันที่ข้าราชการเกษียณอายุรอคอย และต่างก็รอให้มาถึงเร็วๆ เพื่อที่จะไปหางานใหม่ทำข้างหน้าที่เป็นอิสระและไม่อึดอัดอยู่ภายใต้ร่มเงาของนักการเมือง
ข้อเขียนของผมก็พลอยเปลี่ยนไปด้วย เมื่อ 20-30 ปีก่อน ผมจะ ห่วงมาก กลัวว่าข้าราชการเกษียณจะเหงา จะตรอมตรม เพราะเกษียณแล้วจะไม่มีอำนาจวาสนาอะไรเหมือนเก่า
ก็จะเขียนปลอบประโลมใจโน่นนี่ แบบเอาใจช่วยอยู่เสมอๆ
มาถึงยุคนี้ เขียนแบบนี้ไม่ได้แล้วครับ เชยสนิทเลย เพราะข้าราชการส่วนใหญ่เขาดีใจที่จะได้พ้นพงหนาม หลุดจากการครอบงำของนักการเมือง ออกไปทำงานที่ตัวเองถนัด ซึ่งจะมีความสุขมากกว่าอย่างที่ว่า
ก็ขอต้อนรับและขอแสดงความยินดีแก่ข้าราชการเกษียณทั้งหลายที่จะเข้าสู่การเป็นราษฎรเต็มขั้นในวันนี้ ขอให้ท่านใช้ชีวิตนอกระบบราชการอย่างมีความสุข ความสำราญไปตลอดกาลนานนะครับ
เขียนมาถึงบรรทัดนี้ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามีอดีตข้าราชการประจำท่านหนึ่งที่เกษียณอายุเมื่อ 5-6 ปีก่อนโน้น แต่ยังไม่มีโอกาสเสพความสุขเหมือนข้าราชการประจำรุ่นเดียวกัน เพราะมีภาระจะต้องรับผิดชอบต่อบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่อง
เหตุเพราะช่วงก่อนที่ท่านจะเกษียณเพียงไม่กี่เดือนบ้านเมืองมีความวุ่นวาย ท่านจึงต้องเข้ามาจัดการกับความวุ่นวายมิให้บานปลาย และจัดไปจัดมาก็เลยต้องเป็นนายกรัฐมนตรีมาจนถึงวันนี้
ดูจากสถานการณ์ ท่านยังอาจจะต้องเป็นต่อไปอีกพักใหญ่ๆ และจะต้องเผชิญกับคลื่นลมแห่งความทุกข์ไปอีกพักใหญ่ๆ แน่นอน เพราะมีเรื่องราวหนักๆ ประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
นายกรัฐมนตรี “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นแหละครับ ข้าราชการเกษียณที่ยังไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสความสุขจากการเกษียณ นับตั้งแต่วันที่ท่านเกษียณฯ 30 กันยายน 2557 มาจนถึงบัดนี้.
“ซูม”