หวั่นเศรษฐกิจโลกซึมยาว “โควิด–19” แรงกว่าที่คิด

ขณะที่ผมเขียนต้นฉบับวันนี้ในช่วงเย็นๆของวันจันทร์ที่ผ่านมาข่าวการระบาดของไวรัสอันตรายสายพันธุ์ใหม่ที่ได้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า COVID–19 ยังคงเป็นข่าวใหญ่ของโลกต่อไป

โดยเฉพาะที่อิตาลี ซึ่งเป็นผลทำให้ต้องยกเลิกการแข่งขันฟุตบอลกัลโซซีรีเอ หรือดิวิชันสูงสุดของเขาไปถึง 3 คู่ และมีข่าวว่าการจัดงานใหญ่ต่างๆ ที่มิลานและที่เวนิสต้องยกเลิกไปด้วย เพื่อป้องกันการระบาดของเจ้าไวรัสมหาภัยสายพันธุ์นี้

ทางการอิตาลีรายงานว่า พบผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 130 ราย และเสียชีวิตไป 3 ราย ทำให้ต้องออกมาใช้มาตรการเข้มข้นต่างๆ

ขณะเดียวกันตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เกาหลีใต้ก็เพิ่มมากขึ้นและมีรายงานว่าทหารเกาหลีจำนวนหนึ่งก็ติดเชื้อเข้าไปด้วย นอกเหนือไปจากสมาชิกของกลุ่มคริสตชนนิกาย ชินชอมจีที่เมืองแทกู

ตัวเลขผู้ติดเชื้อล่าสุดของเกาหลีใต้กำลังจะพุ่งเข้าสู่หลัก 900 เข้ามาทุกขณะ ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ต้องประกาศยกการเตือนภัยโรคโควิด-19 ขึ้นสู่ระดับสูงสุด หลังจากพบว่าผู้เสียชีวิตมีมากกว่า 7 คน

สำหรับที่ประเทศจีนเองนั้น แม้จะมีข่าวดีว่าการพบผู้ติดเชื้อในแต่ละวันมีจำนวนลดลงกว่าในช่วงแรกๆ แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนล่าสุด น่าจะเกิน 77,000 คนไปแล้ว ในขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตก็ยังเพิ่มสูงขึ้น แม้จะเพิ่มในอัตราน้อยลงก็ตาม

ครับ! จากข่าวคราวการติดเชื้อที่แพร่ระบาดไปที่โน่นที่นี่อย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก เมื่อวันจันทร์ร่วงระเนนระนาดเป็นแถบๆ

ที่สหรัฐฯ ยังไม่เปิดตลาดแต่ในวันศุกร์ก่อนหน้า ปรากฏว่าดาวโจนส์ร่วงลงมาถึง 228 จุด สาเหตุหลักเพราะนักลงทุนวิตกเจ้าไวรัสพันธุ์นี้ควบคู่ไปกับตัวเลขบางตัวที่แสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจจะชะลอตัวลง

ส่วนการซื้อขายล่วงหน้าทางอิเล็กทรอนิกส์นั้นปรากฏว่า ดาวโจนส์ร่วงหนักไปกว่า 500 จุด ก่อนเปิดตลาดในวันจันทร์ตามเวลาสหรัฐฯ ซึ่งในที่สุดแล้ว จะลงเอยอย่างไรคงต้องติดตามกันต่อไป

ในท่ามกลางข่าวคราวเรื่องตลาดหุ้นติดลบนี่เอง ก็มีนักเศรษฐศาสตร์ หลายๆคนออกมาแสดงความเห็นว่า การระบาดของไวรัสโควิค-19 จะมีผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อโลกมากกว่าที่คาดไว้

จะกลายเป็นปัจจัยซ้ำเติมทำให้หลายๆ ประเทศ ซึ่งมีปัญหาทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว ทรุดหนักลงไปอีก

โดยเฉพาะญี่ปุ่นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ซึ่งต้องเผชิญกับการหดตัวของจีดีพี ในไตรมาสที่ 4 ถึง 1.6 เปอร์เซ็นต์ อันเป็นผลมาจากการปรับขึ้นภาษีแวต และการโดนพายุไต้ฝุ่นกระหน่ำหนัก เมื่อเดือนตุลาคม

ปรากฏว่าญี่ปุ่นต้องมาเผชิญกับปัญหาไวรัสระบาดด้วย น่าจะมีผลทำให้ไตรมาสแรกของปีนี้ขยายตัวในอัตราที่ค่อนข้างต่ำ หรืออาจจะกลายเป็นติดลบไปอีก เป็นเรื่องที่นักเศรษฐศาสตร์ต่างก็จับตามอง

สำหรับประเทศในเอเชียอื่นๆ ที่มีปัญหาเศรษฐกิจเมื่อปีกลายอยู่แล้ว โดยเฉพาะไตรมาส 4 ที่หดตัวลง เช่น ฮ่องกง อินโดนีเซีย และมาเลเซียก็มีหวังจะหดลงไปอีกในไตรมาสแรกของปีนี้ จากอิทธิฤทธิ์ของไวรัสโควิด-19

รายงานของนักเศรษฐศาสตร์ฉบับที่ผมอ่านเจอนี้ มิได้ยกตัวอย่างประเทศไทยเราไว้ด้วย แต่เราก็ทราบกันอยู่แล้วจากรายงานของสภาพัฒน์ว่าโอกาสที่เศรษฐกิจไทยปีนี้จะขยายตัวต่ำกว่าปีที่แล้วค่อนข้างสูงมาก

ผมก็ขอนำบทวิเคราะห์และรายงานของนักเศรษฐศาสตร์ที่อ่านเจอมาขยายความต่อ เพื่อให้ท่านผู้อ่านรับรู้รับทราบไว้ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจของโลกอันสืบเนื่องมาจากไวรัสโควิด-19 จะเป็นอย่างไรกันบ้างในสายตาของนักวิเคราะห์ระดับโลก

นึกๆแล้วก็คงต้องส่งใจไปช่วยรัฐบาลจีนเพื่อให้เขาแก้ปัญหาของเขาให้ได้สำเร็จในที่สุด หยุดไวรัสให้เร็วที่สุด ฟื้นฟูเศรษฐกิจได้โดยเร็วที่สุด

ถ้าเศรษฐกิจจีนไม่ดีขึ้น ก็ยังมองไม่เห็นว่าใครที่ไหนจะมาช่วยกอบกู้เศรษฐกิจโลกที่ซวดเซในขณะนี้ได้

เหนื่อยที่สุดก็เห็นจะเป็นท่านประธานาธิบดี สี จิ้นผิง แหละครับ เจอสงครามการค้ากับสหรัฐฯยังไม่ทันหายเหนื่อย มาเจอสงครามไวรัสซึ่งหนักยิ่งกว่า และต้องใช้เวลาแก้ไขยาวนานกว่า

ขอเอาใจช่วยท่านประธานาธิบดีเต็มที่ครับ ขอให้ท่านประสบความสำเร็จในการแก้ปัญหาทุกด้านนะครับ เพื่อให้เศรษฐกิจจีนฟื้นกลับคืนมาโดยเร็ว ซึ่งจะมีส่วนฉุดดึงให้เศรษฐกิจโลกดีขึ้นตามไปด้วย.

“ซูม”