ผมรู้ตัวดีว่าผมเป็น ส.ว.ที่มีอายุสูงเกินเกณฑ์ที่จะมาพูดถึงวัน “วาเลนไทน์” หรือ “วันแห่งความรัก” ไปนานแล้ว–และที่ผ่านมาผมก็มักจะเฉยๆ ไม่พูดถึง หรือไม่ออกความเห็น ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนหนุ่มคนสาวเขาไป
แต่ปีนี้คงต้องขอเขียนถึงบ้างละครับ เพราะตั้งแต่เริ่มปีใหม่มานี้มีแต่เรื่องร้อนๆ ที่เป็นชนวนแห่งการแตกแยกทางความคิดของคนไทยเรามากมายหลายเรื่องเสียจริงๆ
ดูเหมือนกับว่าคนไทยเราจะกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด ขี้โกรธ ขี้ยัวะ ที่ภาษาสมัยใหม่เขาเรียกว่า “หัวร้อน” กันไปหมด
อาจเป็นเพราะความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจทางสังคม หรือบางคนมองไปไกลถึงการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่โลกเรามีบรรยากาศที่ร้อนขึ้น แล้งขึ้นก็เลยทำให้ผู้คนจิตใจขุ่นมัวกันไปหมดทั้งประเทศ
ไม่เชื่อก็ลองเปิดอ่านคอมเมนต์ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “เมนต์” แสดงความคิดเห็นของผู้คนต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดียดูเถอะครับ
ไม่ใช่การ Comment ที่พจนานุกรมอังกฤษไทยหลายๆ เล่มให้ความหมายว่า คำวิจารณ์, ความคิดเห็น หรือ ข้อสังเกต ซะแล้วละครับ
แต่เป็นการด่าทอ ส่อเสียด เหยียดหยาม ดูหมิ่นดูแคลนแบบผสมความรังเกียจเดียดฉันท์ลงไปด้วย พรั่งพร้อมในแต่ละเมนต์
แทบไม่มีคำวิจารณ์ที่แท้จริง ซึ่งจะรวมทั้งการชี้ข้อบกพร่องเสียก่อน จากนั้นค่อยต่อว่าและถ้ามีทางออกด้วยก็จะชี้ทางออกสำหรับเป็นข้อเสนอแนะตบท้ายดังเช่นการวิพากษ์วิจารณ์ในยุคก่อนๆ
ยุคนี้เปิดฉากก็ด่าเลย ยังดีที่ไม่ใช่คำหยาบคายเอ่ยถึงอวัยวะเพศชาย เพศหญิง แบบแม่ค้าในตลาดสดเท่านั้นเอง
แต่ก็เลี่ยงๆ ไปใช้ศัพท์ประเภท “สาดด!” แทน “สัตว์” หรือ กรู หรือ มรึง เวลาขึ้นกู ขึ้นมึง เกลื่อนไปทั้งโซเชียล
ดูเบาลงก็จริง แต่พออ่านรวมๆ แล้วก็สร้างความโกรธแค้นได้พอๆ กับการด่ากันอย่างตรงไปตรงมาเหมือนกัน
นอกจากอารมณ์โกรธแค้นที่ระบายผ่านโซเซียลแล้ว ตัวอย่างสำคัญที่สุดก็คือความโกรธแค้นของนักการเมืองที่แสดงออกผ่านการอภิปรายหรือการประชุมต่างๆ
การใช้ถ้อยคำและกิริยาที่ไม่เหมาะสม การอภิปรายส่อเสียดเยาะเย้ยท้าท้ายทั้งคำพูด ทั้งสายตาท่าทาง จะปรากฏให้เห็นอยู่ตลอดเวลา
เมื่อคนระดับที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติมีความประพฤติมีกิริยาอาการและมีการใช้คำพูดคำจาแบบนี้เยาวชนไทยรุ่นหลังเห็นเข้าก็อดเอาอย่างเอาเยี่ยงเสียมิได้
ก็คนระดับท่านยังพูดกันแบบนั้น ทำไมเด็กอย่างเราจะพูดแบบท่านบ้างไม่ได้ล่ะ
ส่งผลให้เด็กไทยพลอยเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ตามผู้ใหญ่ไปด้วย
2-3 วันมานี้มีคำพูดท็อปฮิตอยู่วลีหนึ่งว่า ประเทศไทยเรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ผมขออนุญาตหยิบยืมมาใช้บ้าง เพราะเกิดความสงสัยเช่นกันว่า ประเทศไทยและคนไทยเราเป็นไปถึงขนาดนี้ได้อย่างไรหนอ?
ความเมตตาปรานี ความเอื้ออาทร ความรักใคร่กลมเกลียวกันที่เคยมีจนล้นสังคมไทยในอดีตหายไปไหนหมดหนอ?
จากสถานการณ์ด้านสังคมที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้แหละครับที่ทำให้ผมซึ่งหลายๆ ปีมานี้ไม่ค่อยได้เขียนถึงวันวาเลนไทน์ เพราะเห็นว่าเป็นธรรมเนียมฝรั่งจึงไม่อยากจะไปเห่อธรรมเนียมของเขามากนัก
แต่หลังจากนั่งอ่านคอมเมนต์ต่างๆ ในกรณี “กราดยิง” ที่มีต่อรัฐบาลต่อท่าน ผบ.ทบ.แล้ว ผมก็เกิดความรู้สึกขึ้นว่าน่าจะต้องหันมาพึ่งธรรมเนียมฝรั่งในเรื่อง “วันแห่งความรัก” เสียบ้างแล้วละ
คืออยากเห็นคนไทยรักกันมากกว่านี้และเกลียดกันให้น้อยลงกว่านี้
ความเห็นไม่ตรงกันเป็นของธรรมดาแต่ก็ควรจะพูดจากันดีๆ แสดงเหตุผลอย่างสุภาพ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ทำได้และจะถนอมน้ำใจกันได้ด้วย
ไม่ใช่เอะอะอะไรๆ ก็จิกจิกจิก…ด่าด่าด่า…หัวร้อนปากร้อนกันไปหมดอย่างทุกวันนี้
เอาเป็นสรุปว่า ในวันแห่งความรักปีนี้ผมขอส่งความปรารถนาดีมายังพี่น้องชาวไทยทุกคน ขอให้ใจเย็นลง หัวเย็นลง ปากเย็นลง เกลียดกันน้อยลง และรักกันมากขึ้น––สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะครับ!
“ซูม”