แก้เผือกร้อน “บาห์เรน” ยึดกฎหมายไทย+การทูต

นี่แหละที่โบราณเขาว่า เรื่องโชค เรื่องเคราะห์นั้น ไม่มีทางที่ใครจะสามารถรู้ล่วงหน้าได้…ถึงคราวจะมีโชคมีเคราะห์มันก็มาของมันเอง

ประเทศไทยของเราก็เจอเข้ากับคำเปรียบเปรยของคนโบราณที่ว่านี้เข้าให้อย่างจัง ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา คือจู่ๆ ก็เจอเคราะห์ร้ายอย่างคาดไม่ถึงตกเป็นเป้าให้ผู้คนทั่วโลกจำนวนมากตัดพ้อต่อว่า ตั้งแต่สถานเบาไปถึงสถานหนัก จนบัดนี้ก็ยังไม่เลิกรา

กรณีการจับกุม นายฮาคีม อัล-อาไรบี อดีตนักฟุตบอลทีมชาติบาห์เรนนั่นแหละครับกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลกไปเรียบร้อย

จะไปโทษเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยเราก็ไม่ได้ เพราะเขาจับของเขาตามหน้าที่ เมื่อตำรวจสากลแจ้งมาว่านายฮาคีมมีหมายจับ และทางรัฐบาลบาห์เรนแจ้งมาว่า นายฮาคีมมีความผิดทางอาญาอย่างนั้นอย่างนี้ ช่วยจับตัวส่งไปบาห์เรนในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนให้ด้วย

เจ้าหน้าที่เราก็ต้องจับกุมตัวไว้และดำเนินคดีไปตามกฎหมายไทย

กลายเป็นว่านายฮาคีมกลับมิใช่ผู้ร้ายในคดีอาญาทั่วไป แต่เป็นผู้ขอลี้ภัยไปอยู่ออสเตรเลีย และได้รับอนุญาตจากรัฐบาลออสเตรเลียให้อยู่อาศัยในประเทศของเขาได้ และไปอยู่มาแล้วถึง 4 ปีเต็มๆ

งานก็เลยเข้า “รัฐบาลไทย” และ “ประเทศไทย” ด้วยประการฉะนี้ เมื่อรัฐบาลออสเตรเลียเรียกร้องให้ส่งตัวนายฮาคีมไปออสเตรเลียพร้อมกับให้สัมภาษณ์กดดันต่างๆ

กลุ่มส่งเสริมสิทธิมนุษยชนฮิวแมนไรท์วอทช์ก็ออกโรงร่วมเรียกร้องอย่างแข็งขันตามมาด้วยข่าวว่าสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ หรือฟีฟ่าก็ดี คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือไอโอซีก็ดี ต่างก็ออกมาขอร้องให้ส่งตัวนายฮาคีมกลับออสเตรเลียโดยเร็วเช่นกัน

ความเห็นจากผู้คนทั่วโลกผ่านโซเชียลมีเดียต่างๆ ก็เป็นไปในทางเรียกร้องให้ไทยเราส่งตัวนายฮาคีมกลับออสเตรเลียทั้งสิ้น และมีการวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบตำหนิประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่

ยิ่งในวันที่คุมตัวนายฮาคีมมาขึ้นศาล และมีการใส่กุญแจข้อเท้ามาด้วย แต่มีการมองเป็นการ “ตีตรวน” และเมื่อโซเชียลมีเดียเผยแพร่ภาพออกไป ก็ยิ่งมีเสียงโจมตีจากฮิวแมนไรท์วอทช์ และผู้ที่เอาใจช่วยนายฮาคีมหนักขึ้นไปอีก

ครับ! อ่านข่าวทั้งหลายแหล่นี้แล้วผมก็รู้สึกเห็นใจหน่วยราชการไทยทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างยิ่ง รวมทั้งรู้สึกเห็นใจ “ประเทศไทย” ของเราเป็นส่วนรวม ที่ต้องมาตกเป็นเป้าการโจมตีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

โดนกดดัน โดนข่มขู่ต่างๆ นานาว่าถ้าไม่ส่งตัวกลับออสเตรเลีย เดี๋ยวจะโดนอย่างนั้นอย่างนี้

อะไรไม่อะไรคนไทยเราก็ดูเหมือนจะแตกคอกันเองด้วย มีการแสดงความคิดเห็นแบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่าย ตำหนิกันไปมา

มีการใช้อาวุธสำคัญทางโซเชียลที่เขาเรียกว่า “ติดแฮชแท็ก” กันอย่างแพร่หลาย มีทั้งฝ่าย #savehakeem และ #boycott thailand ล่าสุดก็มีฝ่าย #savethailand ออกมาตอบโต้เต็มโซเชียลไปหมดและยังไม่รู้ผลว่าใครจะแพ้ชนะในขณะนี้

ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับคำให้สัมภาษณ์กับผู้ใหญ่ไทยทุกๆ ท่านครับที่บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในกระบวนการยุติธรรมของไทยแล้ว และมาถึงชั้นศาลแล้ว ก็ต้องว่ากันไปตามหลักฐานและข้อเท็จจริงต่างๆ

โดยศาลท่านจะเป็นผู้พิจารณา ซึ่งก็คงต้องรอต่อไปว่า ผลการพิจารณาจะเป็นอย่างไร ซึ่งเมื่อออกมาแล้วเป็นอย่างไร เราก็ต้องยอมรับและพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาที่จะตามมา

ออกมาดีก็แล้วไป แต่ถ้าออกมากลายเป็นเราถูกนานาชาติเกลียดชังหรือโดนคว่ำบาตรอะไรเราบ้าง ก็คงต้องยืดอกยอมรับ

เราเคยมีโชคมาแล้วคือกรณี “13 หมูป่า” ถือเป็นโชคของประเทศไทย หลังจากคนไทยร่วมมือกันช่วยเหลือก่อน แล้วต่างประเทศตามมาช่วยทีหลัง กลายเป็นข่าวดังทั่วโลก ใครๆ ก็ชมประเทศไทย รักประเทศไทย

เมื่อจะโชคร้าย เพราะกรณีนี้ ซึ่งดูไปก็เหมือนเรื่องเล็กๆ แค่ตำรวจไทยจับคนที่มีหมายจับ โดยตำรวจสากลคนเดียวเท่านั้น กลายเป็นเรื่องโดนถล่ม เราก็คงต้องกัดฟันยอมรับ

ก็คงต้องฝากท่าน ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เอาไว้แหละครับ เพราะไม่รู้จะฝากใครอีกแล้ว

ช่วยเจรจาคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งบาร์เรน และออสเตรีย รวมทั้งฝ่ายอื่นๆ ที่กำลังผสมโรงกินโต๊ะเราอยู่ในขณะนี้ ให้ผ่อนหนักเป็นเบาด้วยก็แล้วกัน.

“ซูม”