ในขณะที่ทั่วโลกต่างชื่นชมปฏิบัติการช่วยเหลือ “13 หมูป่าอะคาเดมี” ออกจากถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนได้อย่างมหัศจรรย์นั่นเอง ก็มีข่าวอีกชิ้นหนึ่งที่เกิดขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกันที่ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยหมองลงไปไม่น้อย
นั่นก็คือเหตุการณ์อุบัติเหตุเรือล่มที่ภูเก็ต อันเนื่องมาจากการที่บริษัทเรือที่มีข่าวว่าเป็นตัวแทนของกลุ่มทุนจีนได้ฝ่าฝืนคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา นำนักท่องเที่ยวออกทะเล จนเกิดความเสียหายร้ายแรง มีผู้เสียชีวิตถึง 47 ราย จากรายงานล่าสุด
ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดจากถ้อยแถลงของสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ ระบุว่า ในช่วง 2 เดือนข้างหน้านี้ มีทัวร์จีนแจ้งยกเลิกห้องพักไปแล้วกว่า 7,000 ห้อง และหากมองไปข้างหน้าอาจจะมากขึ้นไปอีก คิดเป็นมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท
แน่นอนสาเหตุหลักน่าจะมาจากความช็อก หรืออาการตระหนกตกใจ ประกอบกับความสะเทือนใจจากการที่เพื่อนร่วมชาติของเขาต้องมาสูญเสียชีวิตจำนวนมาก
รวมทั้งอาจจะมีความไม่พอใจจากคำให้สัมภาษณ์ของท่านรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อยู่บ้างที่บอกว่า เป็นเรื่องที่พวกเขาทำกันเอง เพราะเรือลำที่เป็นต้นเหตุเป็นของบริษัทจีนด้วยกันนั่นเอง
แม้ท่านจะกล่าวขอโทษในภายหลัง แต่กระแสขุ่นใจในทำนองที่ว่าทำไมระดับรองนายกฯ จึงพูดเช่นนี้น่าจะเกิดขึ้นไม่น้อย
โดยส่วนตัวผมเห็นด้วยกับท่าน และได้เขียนไปในทำนองเดียวกันว่า เรือลำที่ล่มเป็นเรือที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นเครือข่ายทัวร์ศูนย์เหรียญ และไม่เคารพกฎกติกาโดยฝ่าฝืนคำเตือนของกรมอุตุนิยมวิทยา
ผมมาทราบภายหลังจากการฟังคำสัมภาษณ์ท่าน รมว.การท่องเที่ยวและกีฬาทางวิทยุรายการหนึ่งว่านักท่องเที่ยวจีนที่เสียชีวิตส่วนมากมิใช่เป็นทัวร์ศูนย์เหรียญ
แต่เป็นทัวร์จีนที่มีรายได้ปานกลางขึ้นไป จนถึงผู้มีฐานะดี และอยู่ในกลุ่มทัวร์คุณภาพที่ประเทศไทยเราต้องการ
หลายๆ คนวางแผนมาเที่ยวภูเก็ตด้วยตัวเอง ตามแบบฉบับนักท่องเที่ยวคุณภาพจำนวนมาก ในยุคหลังๆ ที่จะเดินทางด้วย “อินเตอร์เน็ต” มากกว่าผ่านระบบทัวร์ตามปกติ แต่มาใช้บริการของบริษัทนี้ในประเทศไทย
กรณีที่เกิดขึ้นที่ภูเก็ตครั้งนี้จึงควรที่จะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเรา ที่จะต้องตีประเด็นทัวร์จีนให้แตกมากขึ้น
นั่นก็คือเรายังต้องการทัวร์จีนอยู่ แต่ควรจะเป็นทัวร์จีนคุณภาพเท่านั้น
พวกทัวร์ศูนย์เหรียญหรือทัวร์ที่คิดราคาถูกๆ แล้วนำนักท่องเที่ยวจีนมาฟาดฟันมารีดนาทาเร้นทุกสิ่งทุกอย่างระหว่างอยู่เมืองไทยดังที่เคยเกิดขึ้นอย่างมากมายในอดีตนั้น จะต้องจัดการให้หมดไป
สำหรับประเด็นต่อไปคือบริษัทนอมินี หรือบริษัทตัวแทนของทุนจีนที่หลายๆ บริษัทเคยเป็นเครือข่ายของทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งน่าจะมีอยู่มาก
ผลเสียของบริษัทประเภทนี้ก็คือ พวกเขาจะเหมือนเขื่อนกักน้ำที่จะเก็บกักรายได้ที่นักท่องเที่ยวจีนจะนำมาใช้ในบ้านเราไว้เป็นส่วนใหญ่
อาศัยความได้เปรียบที่เขาพูดจีนได้ ใช้ภาษาจีนสื่อสารกับคนจีนได้ ดึงนักท่องเที่ยวจีนให้มาใช้บริการของเขา และในที่สุดก็จะเก็บกักรายได้เอาไว้ เหลือเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะหลุดมาถึงมือคนไทย
การดูแลจัดการบริษัทนอมินีทั้งหลายให้เข้ามาอยู่ในกรอบกฎหมายไทย จึงน่าจะเป็นประเด็นหลักของการดำเนินการจากนี้เป็นต้นไป
เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ในปีนี้ 2561 จะมีนักท่องเที่ยวจีนมาเมืองไทย 10.05 ล้านคน พร้อมรายได้ 5.61 แสนล้านบาท ส่วนปีหน้า 2562 อยู่ที่ 12 ล้านคน และรายได้ 7.21 แสนล้านบาท
ผมขอเรียนว่าเห็นด้วยกับเป้าหมายนี้ แต่ต้องเน้นไปที่ทัวร์จีนคุณภาพเท่านั้น อย่าให้มีทัวร์ศูนย์เหรียญเช่นในอดีตเป็นอันขาด
ขณะเดียวกันก็ต้องจัดการกับบริษัทตัวแทนทุนจีนที่จะเข้ามาเป็นเขื่อนกักรายได้และจะส่งรายได้กลับประเทศเขาอย่างจริงจัง
เพื่อให้วงเงินหลายๆ แสนล้านบาทที่คาดว่าประเทศไทยจะได้รับจากทัวร์จีนทั้งในปีนี้ปีหน้าและปีต่อไปในอนาคต อยู่กับประเทศไทยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และคุ้มค่ากับความสูญเสียทางทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อาจจะเกิดขึ้น
ผมขอฝากทั้ง 2 ประเด็นนี้ไว้ด้วยนะครับลุงตู่ครับ.
“ซูม”