ผมเพิ่งจะเขียนถึงประเด็น “คอร์รัปชัน” ที่เปรียบเสมือน “เชื้อชั่วไม่มีวันตาย” ไปหมาดๆ หลังจากที่มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจ พบว่าดัชนีคอร์รัปชันประเทศไทยกลับมาสูงเหมือนเดิมก็มีท่านผู้อ่านที่ชอบพอกันตั้งข้อสังเกตว่า ผมใช้ถ้อยคำแรงจังถึงขนาดใช้คำว่า “ชั่ว” หรือ “เชื้อชั่ว” เลยนะคุณ…ผิดวิสัยคอลัมน์เหะหะพาที ที่มักจะเขียนอะไรเบาๆ จะด่าหรือตำหนิก็ใช้ถ้อยคำที่เบาที่สุด พอให้รู้ว่าฉันด่าเธอเท่านั้น
ผมขอโทษไปแล้วครับ พร้อมกับชี้แจงเหตุผลว่า ผมคงเหลืออดเหมือนคุณป้าทุบรถที่มีคนมาจอดขวางหน้าบ้านนั่นแหละ เพราะต่อสู้มานานเป็นสิบปีแต่ก็ยังมีคนมาจอดขวางอีกจนได้ คุณป้าก็เลยของขึ้น
ของผมก็คงคล้ายๆกัน ช่วยเขียนต่อสู้รณรงค์เรื่องคอร์รัปชันมากว่า 40 ปี ยาวนานกว่าคุณป้าต่อสู้เรื่องรถขวางประตูซะอีก พอมาอ่านเจอข่าวว่า คอร์รัปชันมาอีกแล้วก็เลยเกิดอารมณ์เหลืออด ต้องใช้คำแรงๆ อย่างที่ว่า
วันนี้ก็คงต้องขอโทษอีกนั่นแหละ เพราะอ่านข่าวมาหลายวันแล้ว เหลืออดจริงๆ ขอใช้คำว่า “เชื้อชั่ว” อีกวันนะครับ
จากข่าวที่หนังสือพิมพ์หลายฉบับนำลงหน้าหนึ่ง กรณีทุจริตคิดมิชอบของข้าราชการจำนวนหนึ่งว่าด้วยการอมเงินช่วยเหลือคนยากจนของ ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง ในหลายๆ จังหวัดนั่นแหละครับ
เริ่มมาจากนักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาพัฒนาชุมชน มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ซึ่งไปฝึกงานที่ศูนย์ฯของจังหวัดขอนแก่น เมื่อเดือน ส.ค.-พ.ย.2560 ได้ร้องเรียนต่อสำนักเลขาธิการ คสช. ถึงพฤติกรรมที่ไม่ชอบมาพากลของศูนย์ฯ แห่งนี้
มีสาระตอนหนึ่งว่า ผู้อำนวยการศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น และเจ้าหน้าที่อีก 2 คนของศูนย์ดังกล่าว ให้นักศึกษากรอกเอกสารปลอมลายมือชื่อของประชาชนที่รับเงินสงเคราะห์รวมแล้วกว่า 6.9 ล้านบาท
ต่อมาได้มีการโยกย้ายข้าราชการที่เกี่ยวข้องออกจากศูนย์ฯ เพื่อดำเนินการสอบสวนและทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ก็เข้าร่วมสอบ โดยกระจายกำลังกันออกไปสอบศูนย์ช่วยเหลือทั้งหมดอีก 37 แห่งทั่วประเทศ
เป็นเหตุให้หนังสือพิมพ์ยังคงลงข่าวอย่างต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้ เนื่องเพราะในหลายๆ ศูนย์ฯ ที่มีการตรวจสอบเพิ่มก็พบเค้าว่ามีการทุจริตในลักษณะคล้ายคลึงกัน
เท่าที่อ่านข่าวแต่ละศูนย์ฯที่เกิดเหตุ จะมีเงินช่วยเหลือรวมกันแห่งละ 5 ล้านบาทบ้าง 8 ล้านบาทบ้าง ไม่ใช่จำนวนที่มากมายเป็นร้อยๆ ล้านเหมือนการกินเงินทอนตามโปรเจกต์ใหญ่ๆ
แต่รวมๆ กันเข้าก็คงจะเป็นจำนวนมิใช่น้อย และที่สำคัญเป็นเงินจากภาษีอากรโดยตรง ที่รัฐบาลมีเจตนาจะมอบให้แก่คนยากจนไร้ที่พึ่ง ตลอดจนผู้ติดเชื้อเอดส์ หรือผู้ยากไร้ต่างๆ ที่สมควรแก่การช่วยเหลือ
ใครก็ตามที่มีจิตสำนึกและมโนธรรมอยู่บ้างไม่ควรจะไปฉ้อฉลเงินก้อนนี้เลย
กรณีที่เกิดขึ้นครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงการมีเจตนา “ฉ้อหลวง บังราษฎร์” คือกินเงินหลวงที่จะส่งไปช่วยราษฎรยากจน ที่ยังฝังอยู่ในระบบราชการ และแม้จะมีการรณรงค์มานาน ชี้แจงอบรมบ่มนิสัยมานาน ก็ยังไม่สามารถทำให้อุปนิสัยข้อนี้หมดสิ้นไปได้
ผมจึงเห็นด้วยกับบิ๊กตู่ที่จะแถลงว่าต้องใช้ยาแรงจัดการให้เด็ดขาด โดยเฉพาะจะต้องลงโทษที่หนักที่สุดเพื่อให้ข้าราชการอื่นๆที่ยังมีอุปนิสัยเช่นนี้อยู่ได้รับรู้ว่ารัฐบาลเอาจริง และบังเกิดความเกรงกลัว
ถือเป็นการป้องปรามไม่ให้ข้าราชการอื่นๆ คิดโกงกินหรือฉ้อฉลในกรณีอื่นๆ ซึ่งอาจจะมีอีกเป็นร้อยเป็นพันกรณีที่สามารถโกงกินหรือฉ้อฉลได้สำหรับคนที่ทำมานานและรู้ช่องทาง
ในขณะที่เห็นด้วยกับการเอาจริงเอาจังของรัฐบาล ผมก็ขอถือโอกาสนี้ ขอบคุณและสรรเสริญนักศึกษาฝึกงานผู้มาพบเห็นกับความไม่ชอบมาพากลแล้วนำความไปร้องเรียน จนทำให้มีการดำเนินการเพื่อเอาผิดเอาโทษข้าราชการฉ้อฉลที่กำลังเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้
น้องกล้าหาญจริงๆ และไม่นิ่งดูดาย สมควรแก่การยกย่อง…ซึ่งถ้าหากบ้านเมืองเรามีบุคคลเช่นน้องมากๆ ช่วยกันเป็นหูเป็นตาในเรื่องทุจริตคอร์รัปชันในทุกๆ เรื่อง
ผมมั่นใจว่าเชื้อชั่วของคอร์รัปชัน หากจะไม่ตายเสียทั้งหมดก็น่าจะลดลงได้อย่างน่าพอใจแน่นอนครับ.
“ซูม”