ปิดตำนาน “คนกินคน” 60 ปีข่าวสยองขวัญ “ซีอุย”

เมื่อเวลา 12.30 น. ของวันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีพิธีฌาปนกิจนายลีอุย หรือซีอุย แซ่อึ้ง ที่วัดบางแพรกใต้ ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี เป็นข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ และโทรทัศน์ทุกช่อง

เหตุเพราะนาย ลีอุย หรือ ซีอุย แซ่อึ้ง ผู้นี้ก็คือชายชาวจีนที่รู้จักกันดีในนามของ “ซีอุย” หรือ “มนุษย์กินคน” ที่สังหารเด็กที่อำเภอเมืองระยอง แล้วควักอวัยวะภายในออกจากร่างกายไป ใส่ถ้วยชามไว้ แต่ต่อมาถูกตำรวจจับได้เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ.2501 หรือกว่า 62 ปีที่แล้ว

เป็นข่าวใหญ่ของหนังสือพิมพ์ใน พ.ศ.ดังกล่าว และกลายเป็นเหตุการณ์สยองขวัญที่คนไทยโจษขานกันทั้งประเทศ สร้างความโกรธแค้นให้แก่ผู้ติดตามข่าวที่เกิดความรู้สึกขึ้นว่า นายซีอุยเป็นฆาตกรอำมหิต และมีจิตใจที่ผิดปกติ จึงสามารถกินอวัยวะของมนุษย์ด้วยกันได้

นอกจากนี้ ตำรวจยังพยายามนำสืบไปถึงคดีเก่าๆ ที่มีการสังหารเด็กๆ และบางศพอวัยวะภายในก็หายไปครับอีก 6 รายด้วยกัน โดยเฉพาะที่อำเภอ ทับสะแก จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ มีถึง 3 ราย และยังมีที่อำเภอปราณบุรีอีก 1 ราย เมื่อปี พ.ศ.2497 ตามมาด้วยคดีในกรุงเทพฯ ปี 2497 เช่นกัน และคดีที่นครปฐม ในปี 2500 รวมทั้งสิ้น 6 รายดังกล่าว

หนังสือพิมพ์จะลงข่าวที่เกี่ยวข้องเหล่านี้ด้วย และตำรวจอ้างว่านายซีอุยยอมรับสารภาพในทุกคดี ก็ยิ่งทำให้นายซีอุยกลายเป็นบุคคลที่น่ากลัวและสยองขวัญอย่างมาก จนถึงขั้นมีการนำไปใช้ขู่เด็กๆ ที่ซุกซนหรือเกเรว่าจะเรียก “ซีอุย มากินตับ” ซึ่งเด็กๆ ก็กลัวเช่นกัน เพราะได้ฟังเรื่องราวกิตติศัพท์ของซีอุยจากผู้ใหญ่ที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

ดังนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาประหาร ชีวิตนายซีอุย แซ่อึ้ง เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2501 คนไทยส่วนใหญ่ใน พ.ศ.นั้นจึงรู้สึกพอใจและเห็นว่าเป็นการตัดสินที่สมควรแล้ว สำหรับฆาตกรที่มีจิตใจโหดเหี้ยม

หลังจากนั้นอีก 1 ปีต่อมา จึงมีการประหาร ชีวิตซีอุยด้วยการยิงเป้า เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2502 และก็มีรายงานข่าวต่อว่า คณะแพทย์ของโรงพยาบาลศิริราชได้ขอรับศพซีอุยมาผ่าสมองเพื่อศึกษารายละเอียดต่างๆ และได้เก็บร่างไว้ที่โรงพยาบาลด้วยขบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อให้นักศึกษาแพทย์ได้ศึกษาเกี่ยวกับซีอุย

ต่อมาคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาลได้นำร่างซีอุยมาจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์การแพทย์ของศิริราช พร้อมกับเขียนข้อความไว้หน้าตู้ว่า “นายซีอุย แซ่อึ้ง (มนุษย์กินคน)” นับเป็นจุดสนใจของพิพิธภัณฑ์ที่มีประชาชนไปเยี่ยมชมจำนวนมาก

จนกระทั่งเมื่อ พ.ศ.2561 จึงเริ่มมีเสียงเรียกร้องด้วยการขอประชามติผ่านทางเว็บไซต์ Change.org ขอให้พิพิธภัณฑ์ถอดคำว่ามนุษย์กินคนออก และ ควรงดแสดงร่างของซีอุย ซึ่งไม่ว่าเขาจะมีความผิดจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่สมควรที่จะนำมาตั้งแสดง ซึ่งเหมือนเป็นการประจานและตอกยํ้า

ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่า ชาวทับสะแก ซึ่งเป็นอำเภอที่ซีอุยเคยอยู่อาศัยในยุคแรกๆ ที่เดินทางมาจากประเทศจีนได้มาร้องเรียนต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้วย และทางคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติก็ได้ประสานมาทางศิริราช ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่ง และได้ตัดสินใจคืนร่างแก่กรมราชทัณฑ์ เป็นที่มาของการฌาปนกิจซีอุยในที่สุด

หัวหน้าทีมซอกแซกในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่อยู่ในเหตุการณ์นี้มาตั้งแต่ต้น เคยรู้สึกโกรธ เกลียด และกลัวนายซีอุยเช่นเดียวกับคนไทยส่วนใหญ่ที่ติดตามอ่านข่าวนี้เมื่อ พ.ศ.2501

ต่อมาได้มีการนำคำให้การอย่างเป็นทางการ ของซีอุยออกมาเปิดเผย ทำให้ทราบว่าเขาปฏิเสธในคดีอื่นๆ แต่ที่ยอมรับในตอนแรกๆ เพราะไม่เข้าใจภาษาอย่างถ่องแท้ เนื่องจากการสอบสวนในชั้นตำรวจต้องใช้ล่ามภาษาจีนโดยตลอด อาจ เป็นไปได้ที่ทำให้เข้าใจผิดในบางประเด็น

ในการพิพากษาของศาลนั้นก็พิจารณา เฉพาะคดีสุดท้ายที่จังหวัดระยองที่เขาถูกจับตัวได้ขณะเกิดเหตุและมีพยานแน่นหนาเท่านั้น

ข้อมูลใหม่เหล่านี้ทำให้ความรู้สึกตำหนิติติงต่อซีอุยของหัวหน้าทีมค่อยๆ คลายลง แต่กระนั้นก็ยังเห็นว่าเขามีความผิดสมควรแก่การถูกประหารชีวิตสำหรับคดีสุดท้ายที่ระยอง ซึ่งมีหลักฐานชัดเจน

อย่างไรก็ตาม แม้จะเห็นว่าเขาผิด แต่หัวหน้า ทีมซอกแซกก็เห็นด้วยเช่นกันกับข้อเรียกร้องที่ว่าไม่ควรจะนำเขามาประจานซํ้าแล้วซํ้าเล่าว่าเป็นมนุษย์กินคนดังกล่าว

ดังนั้น การฌาปนกิจเพื่อปิดตำนานของซีอุยไว้เพียงเท่านี้ จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเมื่อไม่มีเรือนร่างของเขาให้เห็นอยู่อีก ตำนานแห่ง ความน่าสะพรึงกลัวสยองขวัญของเขา ซึ่งบางเรื่องอาจไม่ตรงข้อเท็จจริงนักก็คงจะค่อยๆ จางหายไป

เหลือไว้เพียงการบันทึกเรื่องราวต่างๆ รวมตลอดถึงการนำคดีและคำให้การมาเปิดเผยมากขึ้น มากขึ้น ซึ่งจะอยู่ในโลกออนไลน์และ สิ่งพิมพ์ยุคใหม่ตลอดไป เพื่อเป็นข้อมูลให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลที่ชื่อ “ซีอุย” อย่างรอบด้านและมุมมองที่กว้างขวางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน

สำหรับคณะแพทยศาสตร์ ศิริราช ที่นำร่างของซีอุยมาแสดงไว้เป็นเวลายาวนาน พร้อมถ้อยคำ “มนุษย์กินคน” ก็คงไม่ใช่เป็นการกระทำที่ผิดแต่ประการใด เพราะในยุคโน้นจากกระแสที่เกิดขึ้นทุกคนต่างรู้สึกโกรธ รู้สึกช็อก ซึ่งทางการแพทย์ก็คงรู้สึกเช่นกัน จึงขอมาศึกษาหรือมาเป็นอาจารย์ใหญ่ให้แก่นักศึกษาแพทย์อยู่หลายปี รวมทั้งทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เขาทุกๆ ปี

ขอบคุณทุกๆ ฝ่ายที่ไปร่วมพิธีฌาปนกิจนายซีอุย แซ่อึ้ง ที่วัดบางแพรกใต้ ขอบคุณท่าน อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ท่านอดีตกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตัวแทนของชาวทับสะแก รวมถึงเว็บไซต์ Change.org ที่เริ่มรณรงค์เรื่องนี้โดยการขอประชามติในอินเตอร์เน็ต และได้รับการตอบรับอย่างแพร่หลาย

ท่านเหล่านี้ล้วนมีส่วนมากบ้าง น้อยบ้าง ในการทำให้เรื่องราวของนายซีอุย แซ่อึ้ง จบลงอย่างสมศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ทุกประการ.

“ซูม”

ซีอุย แซ่อึ้ง, พิธีฌาปนกิจ, มนุษย์กินคน, ซูมซอกแซก