อย่าให้คลื่น “นิยมไทย” เป็นแค่ “กระแส” ชั่ววูบ

ผมขออนุญาตท่านผู้อ่านเขียนถึงเรื่องกระแสละคร “บุพเพสันนิวาส” อีกสักวันนะครับ เพราะหนังสือพิมพ์ยังคงลงข่าวหน้า 1 รายงานให้ทราบว่าคนไทยจำนวนมากแต่งชุดไทยเต็มยศไปเที่ยวชมวัดวาอารามหลายๆวัด ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามรอยละคร

อ่านข่าวเห็นภาพผู้คนแต่งชุดไทยอันสวยสดงดงาม เดินไปตามพระเจดีย์หรือพระอุโบสถเก่าๆ แล้วก็อดที่จะเกิดอารมณ์ร่วมจนอยากจะเขียนถึงเรื่องนี้ต่ออีกวันเสียมิได้ว่างั้นเถอะ

โดยส่วนตัวผมคิดว่าที่คนไทยเราจำนวนมากหันมาแต่งชุดไทยอย่างภาคภูมิใจไปตามสถานที่ต่างๆ ในขณะนี้ นอกจากจะเป็นเพราะกระแสละครโทรทัศน์ของช่อง 3 แล้ว น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากงาน “อุ่นไอรัก คลายความหนาว” อย่างสำคัญยิ่ง

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณฯ ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของบุรพมหากษัตริย์ไทย ตลอดจนรำลึกถึงความเป็นชาติไทยที่มีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามมาแต่โบราณกาล และทรงมีพระราชดำริเชิญชวนให้ผู้เข้าชมงานแต่งกายแบบไทยๆ หากเป็นไปได้

ซึ่งคณะรัฐมนตรีก็ได้เริ่มแต่งนำเป็นตัวอย่าง ดังจะเห็นได้จากภาพหน้า 1 หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

ต่อมาประชาชนชาวไทยก็แต่งตาม สังเกตได้จากที่แต่งเพียงไม่กี่คนในช่วงแรกๆ กลับกลายเป็นแต่งพรึบทั้งงานในช่วงหลังๆ

ขณะเดียวกันละครเรื่อง “บุพเพสันนิวาส” ก็เริ่มดังขึ้นมาในช่วงที่งานผ่านไปแล้วระยะหนึ่งและมาแรงขึ้นมากในช่วงต้นเดือนมีนาคม ทำให้คนไทยหันมาแต่งชุดไทยเพิ่มมากขึ้น

จริงอยู่ชุดไทยๆในงาน “อุ่นไอรักฯ” อาจจะย้อนยุคไปแค่ยุครัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 มิได้ไปไกลถึงยุคกรุงศรีอยุธยาอย่างละคร

แต่เนื่องจากชุดไทยโบราณของเรามักจะดูคล้ายๆกัน และคนส่วนใหญ่จะแยกไม่ออกว่าเป็นยุคไหน จึงเหมารวมกันไปว่าเป็นยุคเดียวกันทั้งหมด

ดังเช่นวันหนึ่งบนรถไฟฟ้าบีทีเอสมีผู้แต่งกายย้อนยุคจำนวนหนึ่งมาขึ้นโดยสารจะไปงานอุ่นไอรักฯ เมื่อผู้โดยสารอื่นๆ เห็นเข้าก็กระซิบกันว่า “ออเจ้ามาแล้ว” ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

เป็นการยอมรับว่าการแต่งกายไทยๆ ไม่ว่ายุคไหนก็ตามถือเป็น “ออเจ้า” ด้วยกันทั้งสิ้น

ผมจึงมีความเห็นว่า “งานอุ่นไอรักฯ” กับละครดังของช่อง 3 มีส่วนร่วมกันในการทำให้คนไทยหันมาแต่งไทยอย่างแพร่หลายในขณะนี้

ผลลัพธ์ที่ตามมาและจะเป็นผลทางเศรษฐกิจที่สำคัญยิ่งก็คือจะทำให้ผ้าไทย โดยเฉพาะไหมไทยขายดีขึ้น

ปกติผ้าไทยของเรานั้นจะขายไม่ค่อยดีนัก เวลาหน่วยราชการไปสนับสนุนให้ชาวบ้านผลิต มักจะประสบปัญหาการขาย ทำให้สินค้าเหลืออยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อคนไทยหันมานิยมแต่งไทยจึงน่าจะมีส่วนทำให้ผ้าไทยต่างๆขายดี และรายได้ที่เกิดขึ้นก็น่าจะกระจายไปถึงชาวบ้านที่ผลิตผ้าไทยในชนบทอย่างทั่วถึง

กล่าวโดยสรุปแล้วการที่คนไทยหันมานิยมแต่งกายชุดไทยในขณะนี้ถือเป็นผลดีอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจหรือสังคม

ในส่วนของสังคมนั้น การที่คนไทยหวนมารำลึกถึงความเป็นไทยและหันกลับไปมองถึงอดีตก็จะเป็นผลให้คนไทยมีความรักความหวงแหนและความผูกพันต่อแผ่นดินไทยของเรามากขึ้น ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันก็จะเกิดขึ้นเป็นเงาตามตัว

แต่ที่ผมเกิดความรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยอยู่บ้างก็ตรงคำว่า “กระแส” นี่แหละครับ เพราะอะไรก็ตามที่มาแบบเป็นกระแสมักจะอยู่ไม่นาน

ส่วนใหญ่ก็จะมาเร็วและไปเร็ว…ซึ่งพอไปซะแล้วก็จะต้องใช้เวลาอีกนานมากกว่าจะหวนกลับมาอีก

ทำอย่างไรจะให้ความรู้สึกรักประเทศไทย รักกรุงศรีอยุธยา รักความเก่าแก่และรักศิลปะวัฒนธรรมไทยอยู่ต่อไปอีกนานแสนนาน

กลายเป็นความรู้สึกที่แท้จริงซึมลึกลงไปจิตใต้สำนึกจริงๆ มิใช่เพียงแค่เป็นกระแสหรือฟีเวอร์เท่านั้น

จะฝากใครดีละเนี่ย ลำพังจะฝากท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม หรือฝากรัฐบาลนี้คงไม่พอละครับ…คงต้องฝากไว้กับท่านที่หันมาแต่งชุดไทยกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งในขณะนี้นั่นแหละ…ขอให้แต่งตลอดไปและมีความเป็นไทยอยู่ในหัวใจตราบนิรันดร์นะครับ.

“ซูม”