ตำนาน “ตะกร้อ” ซีเกมส์ ศึก“ศักดิ์ศรี” ไทย–มาเลเซีย

มาถึงวันนี้ (พฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม 2568) การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 33 ที่ประเทศไทยเราเป็นเจ้าภาพ ใกล้จะปิดฉากรูดม่านเต็มทีแล้วครับ…

มะรืนนี้ (เสาร์ที่ 20 ธันวาคม 2568) พิธีปิดการแข่งขันก็จะเริ่มขึ้น ณ สนามราชมังคลากีฬาสถานเจ้าเดิมจะมีดราม่าอะไรอีกหรือไม่คงต้องติดตามลุ้นกันต่อไปนะครับแต่สำหรับ

“เจ้าเหรียญทอง” หรือการคว้าเหรียญทองมาครองได้เยอะที่สุดของ “ไทยแลนด์” เราในฐานะเจ้าภาพไม่น่าจะเป็นดราม่าแน่นอนแล้ว เพราะมาถึงนาทีนี้ เราโกยเหรียญทองได้แล้วกว่า 130 เหรียญทอง ทิ้งห่างที่ 2 อินโดนีเซียที่ได้กว่า 40 เหรียญทองไปถึง 3 เท่าตัว…ยังไงๆ ทีมอิเหนา ก็ไล่กวดไม่ทันแน่นอนครับ

มีกีฬาประเภทหนึ่งที่ในทัศนะของผมถือว่าสำคัญมาก และขออนุญาตนำมาบันทึกไว้ในวันนี้ เพราะเป็นกีฬาที่พัฒนามาจากกีฬาท้องถิ่นของชาว “แหลมทอง” จนสามารถเป็นกีฬาสากลที่ปัจจุบันเริ่มเป็นที่นิยมในระดับ “เอเชีย” ด้วยแล้ว

เนื่องจากมีการบรรจุเป็นหนึ่งในการแข่งขันกีฬา เอเชียนเกมส์ นับตั้งแต่ปี 2533 หรือเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 11 ณ กรุงปักกิ่ง เป็นต้นมากีฬา “เซปักตะกร้อ” ไงครับ!

ปรากฏว่า ผลการแข่งขันชิงเหรียญทองในกีฬา “เซปักตะกร้อ” ทีมชุดชาย ซึ่งถือว่าสำคัญที่สุดนั้น ไทย เราเป็นฝ่ายแพ้ มาเลเซีย ไป 1-2 ทีม “ช็อก” วงการลูกหวายไทยอย่างยิ่ง

เพราะเป็นการ “ไม่ได้เหรียญทอง” เป็นครั้งแรกในรอบ 34 ปี นับจากปี 2534 หรือ 1991 ที่ไทยเราพ่ายแพ้ให้มาเลเซียเช่นกันเป็นต้นมา

หลังจากนั้น…อีก 2 ปีต่อมาใน พ.ศ.2536 หรือ 1993 ในการแข่งขันที่สิงคโปร์ เราก็กลับมาคว้าแชมป์ตะกร้อทีมชุดชายได้อีก… และชนะได้เหรียญทองติดต่อมา 16 สมัยรวด

เพิ่งมาเสีย “แชมป์” ในปีนี้ และก็ “แพ้” แบบ “คาบ้าน” เสียด้วย จึงเป็นเรื่องที่กองเชียร์ไทยรู้สึกเสียใจไปตามๆ กัน

ผมเองในฐานะแฟนกีฬาตะกร้อคนหนึ่ง ตามวิสัยชายไทยที่มีตะกร้ออยู่ในสายเลือด เริ่มเตะ “ตะกร้อวง” กันมาตั้งแต่เด็กๆ…แม้จะรู้สึกเสียใจและเสียดายไม่น้อยเช่นกัน แต่ก็อยากจะปลอบใจแฟนตะกร้อรุ่นหลังว่า…

ขอให้ทำใจ เสียเถิด ย้อนตำนานกลับไปเมื่อ 66 ปีที่แล้วที่เราขันอาสาเป็นเจ้าภาพกีฬาแหลมทองครั้งแรก ซึ่งเป็นต้นตระกูลของกีฬาซีเกมส์นั้น…

ไทยเรานี่แหละที่เสนอให้กีฬาตะกร้อเป็น กีฬาสาธิต เพราะเรารู้ว่ากีฬาตะกร้อเป็นกีฬาของชาวแหลมทอง มีเตะมีแข่งขันทั้งในไทย-มาเลเซีย-พม่า-ลาว-กัมพูชา และเวียดนามเพียงแต่วิธีการเล่นและการแข่งขันนั้นต่างกัน

โดยเฉพาะของไทยเราส่วนใหญ่ถนัดตะกร้อวงกับตะกร้อลอดห่วง และตะกร้อข้ามตาข่าย ในขณะที่มาเลเซียเขาแข่งขันในสไตล์คล้าย วอลเลย์บอล คือมีรับมีชงอย่างที่ใช้แข่งกันอยู่ในปัจจุบันมาตั้งแต่ต้น

เมื่อตกลงกันว่าจะให้มีการแข่งขันตะกร้อด้วยในการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 3 พ.ศ.2508 จึงต้องมาคุยกันก่อนว่าใช้กติกาแบบไหน…ในที่สุดก็มาลงเอยในกติกาของมาเลเซีย ที่เขาเรียกว่า “เซปัก–รากา–จาริง” เป็นหลัก

โดยนำคำว่า “เซปัก” ของเขามา สมาสกับคำว่า “ตะกร้อ” ของไทยเราเป็น เซปักตะกร้อ ด้วยประการฉะนี้ทำให้ประเทศไทยต้อง “ปฏิวัติ” การเล่นตะกร้ออย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ

โดยเฉพาะจากตะกร้อข้ามตาข่ายที่เรานิยมซึ่งแข่งคล้ายๆ แบดมินตัน คือเตะข้ามไปข้ามมาทำคะแนนกันเลย มาเป็นเตะแบบ “รับลูก” และ “ชงลูก” แบบวอลเลย์บอล ที่มาเลเซียเขาถนัด

ผมจำได้ว่าในการแข่งขันช่วงแรกๆ มาเลเซีย จะคว้าเหรียญทองไปได้ตลอด จนกระทั่งเมื่อ “การปฏิวัติ” ของเราสัมฤทธิผลสามารถผลิตนักตะกร้อยุคใหม่ที่เตะแบบ “วอลเลย์บอล” ได้ มาให้คัดเลือกตัวอย่างพอเพียง เราจึงสามารถครองเหรียญทอง “ทีมชุดชาย” มาได้อย่างยาวนานดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้หากนานๆ ที 34 ปีหน เขาจะมาทวงคืนเหรียญทองไปบ้างก็กัดฟันยอมเขาเถอะนะครับ––

พร้อมกับเตรียมตัวไปเอาคืนในซีเกมส์คราวหน้า หรือไปครองต่อในเอเชียนเกมส์ครั้งต่อไปให้ได้ก็แล้วกัน.

“ซูม”