ครับ! ก็เป็นอันว่าผ่านช่วงเวลาของ “วันพระใหญ่” อาสาฬหบูชา และ “วันเข้าพรรษา” ไปเป็นที่เรียบร้อย พี่น้องประชาชนชาวไทยได้ “หยุดยาว” 4 วันซ้อน มีโอกาสได้เข้าวัดทำบุญ และได้เดินทางท่องเที่ยวกึ่งทำบุญ คือได้ไปดูไปร่วมประเพณีแห่เทียนพรรษาที่มีการจัดขึ้นทั่วประเทศไทย
ขอต้อนรับกลับสู่การทำงานอีกครั้งนะครับ และหวังว่าหลังจากได้ชาร์จแบตเตอรี่เติมพลังกันมาเรียบร้อยแล้ว เช่นนี้ท่านผู้อ่านทุกๆ ท่านคงจะมีความร่าเริงความแจ่มใสและมีพลังจิตพลังใจที่จะเดินหน้าสู้ชีวิตกันต่อไป
ประเด็นที่ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจอย่างมาก ในระหว่างเทศกาลบุญใหญ่ครั้งนี้ ก็เห็นจะเป็นภาพพี่น้องประชาชนที่ยังคงเข้าวัดเข้าวาทำบุญตักบาตรและเวียนเทียนกันอย่างหนาแน่นในทุกๆ จังหวัด
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นเวลานับสิบๆ วันติดต่อกันมีแต่ข่าวที่ได้อ่านหรือได้ยินได้ฟังแล้วหดหู่ใจอย่างยิ่ง กรณีพระชั้นผู้ใหญ่มีสมณศักดิ์สูงมีเปรียญการศึกษาสูง ตกเป็นเหยื่อของ “สีกา” รายหนึ่งถึงขั้นต้องหลบหนีและสึกหาลาเพศกันไปหลายรูป
มีข่าวมีภาพมีวิดีโอประกอบพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของพระภิกษุผู้ทรงสมณศักดิ์สูงๆหลายๆรายเผยแพร่ออกมาด้วย
นอกจากเรื่องเพศเรื่องกำหนัดเรื่องตัณหาแล้ว บางรูปบางรายก็เกี่ยวข้องกับเรื่องเงินๆทองๆ เช่น มีการนำเงินวัด หรือเงินทำบุญไปบำเรอสีกาก้อนใหญ่ เป็นต้น ฯลฯ
ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์และเกิดความห่วงใยว่าจะนำความเสื่อมเสียมาสู่พระศาสนา จนมีเสียงเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้ามาควบคุมดูแล ตรวจสอบความประพฤติของพระภิกษุต่างๆให้เข้มข้นกว่าทุกวันนี้
บ้างก็พูดถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยตรงว่าควรจะมีการรื้อฟื้นควรจะมีการกำหนดโทษทั้งแก่ฆราวาสที่เข้ามาทำความเสียหายแก่พระศาสนา หรือแก่พระภิกษุที่ต้องอาบัติต้องปาราชิกผิดศีลผิดธรรมนั้นๆเพื่อให้เกิดความหลาบจำ
…
– Advertisement –
SKIPSTAY
แต่ก็บังเกิดเหตุการณ์ที่น่าปีติยินดีขึ้น เมื่อพี่น้องประชาชนชาวไทยยังคงเข้าวัดทำบุญตักบาตรและบำเพ็ญกุศลต่างๆอย่างเนืองแน่น ตลอดช่วงวันหยุดอาสาฬหบูชาและเข้าพรรษาที่ผ่านมา
แสดงว่าประชาชนชาวไทยนั้นแยกออกว่าแก่นของพระศาสนาคืออะไร ยังคงเลื่อมใสและศรัทธาในพระธรรมคำสอนต่างๆเช่นเดิม
ในขณะที่พระภิกษุขาดศีลที่แม้จะมีจำนวนมากขึ้น และสมณศักดิ์สูงขึ้น แต่ก็ยังเป็นส่วนน้อยของพระภิกษุทั้งหมด…และด้วยกลไกของพระศาสนาเอง พระทุศีลเหล่านั้นก็ถูกจับสึกถูกบังคับให้สึก หรือละอายแก่ใจ จนลาสึกกันแล้วเป็นส่วนใหญ่
ใครมีความผิดสมควรถูกดำเนินคดีก็จะโดนตำรวจจับกุม ตั้งข้อหาเพื่อดำเนินคดีต่อไป
เข้าทำนองนิ้วไหนร้ายนิ้วไหนเน่าก็ตัดนิ้วนั้นทิ้งไปเสีย
เมื่อประชาชนสามารถแยกแยะออกเช่นนี้ จนเป็นเหตุให้จำนวนผู้เข้าวัดเข้าวายังคงอุ่นหนาฝาคั่งก็เบาใจได้ว่าพุทธศาสนาของเราจะอยู่ยั้งยืนยงต่อไปแน่นอน ไม่มีวันที่จะเสื่อมลงได้
พระพุทธศาสนายั่งยืนมา 2,613 ปี อันหมายถึง 45 ปี ในห้วงเวลาที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพ และ 2568 ปีหลังเสด็จปรินิพพานแล้ว แสดงถึงความเป็น “ของดี ของแท้” ของ “แก้ว 3 ประการ” หรือ “พระรัตนตรัย” ชาวโลกจึงยอมรับมาโดยตลอด
แก้วประการที่ 1 พระพุทธ ผู้ทรงตรัสรู้ นำความจริงมาสั่งสอนและเผยแผ่แก่ชาวโลก
แก้วประการที่ 2 พระธรรม ทุกคำสอนของพระองค์ท่านล้วนเป็นแก่นแท้แห่งการดำรงชีวิต ผู้ใดประพฤติปฏิบัติตามแล้วจะถึงซึ่งความสุขสงบ
แก้วประการที่ 3 พระสงฆ์ อาจมีตำหนิบ้างเพราะเป็นมนุษย์ที่ยังมีชีวิตและเลือดเนื้อ แต่หากถือคติ “นิ้วไหนร้าย” ก็ตัดไปขจัดไปในที่สุดก็จะเหลือแต่ “นิ้วดี” เป็นส่วนใหญ่เท่านั้น
“พระรัตนตรัย” จึงเป็นที่ศรัทธาเชื่อถือและยั่งยืนอยู่มาได้ถึง 2,613 ปี ดังกล่าวและจะคงอยู่ตลอดไปอีกนานแสนนานตลอดอายุขัยของโลกใบนี้…ผมมั่นใจเช่นนั้นครับ.
“ซูม”