ผมควรจะเขียนต้นฉบับวันนี้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย–จีน และมีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ไปแล้วในวันดังกล่าว
แต่มาเขียนในวันนี้ (3 กรกฎาคม 2568) ก็ยังไม่ถือว่าช้าเกินไปหรอกครับ เพราะทราบว่ายังมีอีกหลายๆ องค์กร อีกหลายสมาคม หลายสมาพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับ 2 ประเทศ คือไทยเรากับสาธารณรัฐประชาชนจีนยังคงจัดงานเฉลิมฉลองอย่างต่อเนื่องไปตลอดเดือนนี้ หรืออาจจะตลอดปีนี้ด้วยซํ้า
จริงๆ แล้วไทยกับจีนมีความสัมพันธ์กันมายาวนานมาก ในทางเศรษฐกิจก็ทำมาค้าขายกันมาตลอดตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา มาจนถึงรัตนโกสินทร์
แต่พอสาธารณรัฐประชาชนจีนกลายเป็นประเทศคอมมิวนิสต์เต็มตัวราวๆ ค.ศ.1949 หรือ พ.ศ.2492 ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนก็ขาดสะบั้นลง เพราะไทยเรายืนอยู่ทางฝ่ายโลกเสรีที่มีสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่ต่อสู้กับกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์
ยังจำได้ตอนผมยังเด็กๆ นักข่าวนักหนังสือพิมพ์ และดาราหลายคนที่ยกทีมไปแสดงที่เมืองจีน พอกลับมาถึงบ้านก็ถูกจับเข้าคุกเป็นแถวๆ
ในขณะที่สถานีวิทยุปักกิ่งภาคภาษาไทยก็จะออกอากาศด่าประเทศไทยว่าเป็นสมุนจักรวรรดินิยมอเมริกาอยู่ทุกคืนทุกวัน
รวมทั้งในช่วง พ.ศ.2500 ต้นๆ บ้านเราเริ่มมีกองกำลังผู้ก่อการร้ายในป่า หยิบปืนออกมาต่อสู้กับฝ่ายราชการในหลายๆ จุดของประเทศไทย ก็กล่าวกันว่าได้รับการสนับสนุนจากจีนคอมมิวนิสต์
แม้ในเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศไทย ก็มีการปล่อยข่าวว่าคอมมิวนิสต์มีส่วนอยู่เบื้องหลัง
จึงไม่แปลกที่การเดินทางไปเยือนกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ของนายกรัฐมนตรีไทย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2518 หรือ ค.ศ.1975 จะกลายเป็นข่าวใหญ่ของประเทศไทย
นายกฯ คึกฤทธิ์ พร้อมด้วย รมว.ต่างประเทศ พลตรีชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ได้เดินทางไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับจีน ในวันรุ่งขึ้น 1 กรกฎาคม 2518 โดยมีนายกรัฐมนตรี โจว เอิน ไหล เป็นผู้ลงนามในฐานะตัวแทนของฝ่ายจีน และมีท่านรองนายกฯ เติ้ง เสี่ยว ผิง เป็นผู้ดำเนินการจัดการในเรื่องต่างๆ อยู่เบื้องหลัง
หลังจากลงนามกับโจว เอิน ไหล อย่างเป็นทางการแล้ว นายกฯคึกฤทธิ์ยังมีโอกาสได้เข้าพบและจับมือกับท่านประธาน เหมา เจ๋อ ตง ด้วย เป็นข่าวใหญ่ทั้งในระดับโลกและประเทศไทยเช่นเดียวกัน
การไปลงนามของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ครั้งนั้นถือเป็นเรื่อง คาดไม่ถึงและเสี่ยงมาก ว่ากันว่าไม่ได้ปรึกษาหารือ สภาความมั่นคงแห่งชาติ ด้วยซ้ำ เป็นดำริของอาจารย์หม่อมเอง และเมื่อหารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ชาติชาย เรียบร้อยก็จัดทีมข้าราชการกระทรวงต่างประเทศเดินทางไปปฏิบัติภารกิจทันที
นี่แหละที่เขาว่า “วันเวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก” ใครจะไปนึกละครับว่า เหตุการณ์ที่ดูเหมือนเพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี่เอง สำหรับคนรุ่นผม…ที่ไหนได้ผ่านไป 50 ปีเรียบร้อยแล้ว
ช่วงนั้นผมมาเขียนคอลัมน์กับไทยรัฐได้ 3-4 ปีแล้ว จำได้ว่าได้เขียนเรื่องที่เป็นเกร็ดข่าวเฮฮา เบื้องหลังการเดินทางของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ร่วมบันทึกประวัติศาสตร์ไปกับเขาด้วย
ในโอกาสเฉลิมฉลองครบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย-จีน 1 กรกฎาคม 2568 ผมขอแสดงความยินดีและขอขอบพระคุณย้อนหลังไปถึงวิสัยทัศน์ตลอดจนความพยายามต่างๆ ที่ผู้ใหญ่ของทั้ง 2 ประเทศ ได้ดำเนินงานจนเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยและยั่งยืนมาจนถึงบัดนี้
ขอให้มิตรภาพไทย–จีนอยู่ยั้งยืนยงต่อไปในอนาคตโดยไม่มีวันสิ้นสุดตราบกาลนิรันดร์ และขอให้ดวงวิญญาณของผู้หลักผู้ใหญ่ทุกท่านที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ไทย–จีน เมื่อ 50 ปีที่แล้วจงมีแต่ความสุขความสงบ ณ สัมปรายภพ เบื้องบนทุกๆ ท่านเทอญ.
“ซูม”