ผมเคยเขียนกราบเรียนท่านผู้อ่านไปแล้วว่า ผมเป็นเด็กที่เติบโตมากับความรู้สึกที่เจ็บปวดจากการที่ต้องสูญเสียเขาพระวิหารให้กับกัมพูชาตามการตัดสินของศาลโลก เมื่อ พ.ศ.2505 ขณะเรียนอยู่ปีที่ 3 คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์
ก่อนหน้านั้นขณะอายุ 17 ปี เรียนอยู่ชั้นเตรียมอุดมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา พญาไท ผมกับเพื่อนๆ ร่วมห้องหลายคนได้ไปร่วมเดินขบวนกับพี่น้องประชาชนชาวไทย นิสิต นักศึกษา และนักเรียนไทยหลายหมื่นคน ณ ท้องสนามหลวง ที่ก่อตัว ประท้วง เจ้าสีหนุ ผู้นำกัมพูชา ที่นำ เขาพระวิหาร ขึ้นสู่ศาลโลก
ด้วยเหตุนี้แม้ว่าผมจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มีโอกาสไปรํ่าเรียนสูงขึ้น แต่ก็ยากที่จะลืม “ความสูญเสีย” ครั้งใหญ่ในชีวิตลงได้
เพียงแต่มีสติมากขึ้น รู้จักควบคุมอารมณ์ได้มากขึ้น ไม่รู้สึกเร่าร้อนเหมือนเมื่อปี 2505 ที่เราต้องสูญเสียเขาพระวิหารไปต่อหน้าต่อตา
ดังนั้น ตลอดเวลาที่ 2 พ่อลูก “ฮุน เซน–ฮุน มาเนต” กลับมาแว้งกัดประเทศไทยอีกครั้ง ผมจึงติดตามเหตุการณ์อย่างพยายามควบคุมสติตามประสาผู้สูงวัย ซึ่งก้าวข้ามสะพานพระราม 8 มาเรียบร้อยแล้ว
จะโกรธจะตัดพ้อต่อว่า 2 พ่อลูกบ้างก็ตัดพ้อแต่พองาม เรียกนายฮุน เซน ผู้พ่อว่า “เฒ่าสารพัดพิษ” ไปตามสำนวนที่สื่อมวลชนไทยยุคนี้ตั้งฉายาให้…ไม่มีอะไรรุนแรงมากกว่านั้น
รวมทั้งในการติดตามดูการถ่ายทอดสด (หลายช่องมาก) ทางยูทูบ เกี่ยวกับการรวมตัวชุมนุมใหญ่ของ “คณะรวมพลังแผ่นดินเพื่อปกป้องอธิปไตย” ณ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน ผมก็ติดตามไปตามความรู้สึกนึกคิดของผมเอง
อย่างเป้าหมาย 3 ข้อของการชุมนุมที่ประกาศให้นายกรัฐมนตรี น.ส.แพทองธาร ลาออกทันทีเป็นข้อแรก…พรรคร่วมรัฐบาลลาออกทันทีเป็นข้อสอง และการแสดงจุดยืนของมวลชน เพื่อแสดงพลังปกป้องอธิปไตยไทย เป็นข้อที่ 3 นั้น
ผมก็จัดลำดับเสียใหม่ โดยให้ข้อ 3 คือการแสดงพลังปกป้อง อธิปไตยขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ด้วยสะเก็ดแผลแห่งการสูญเสียเขาพระวิหาร ที่ยังค้างอยู่มากในใจของคนรุ่นผม ดังที่กล่าวไว้ตอนต้น
ส่วนเรื่องลาออกของนายกฯ และการถอนตัวของพรรคร่วม แม้ผมจะเห็นด้วย แต่ก็ถือว่ายังมีมาตรการตามรัฐธรรมนูญอีกมากที่จะดำเนินการต่อไป และขณะนี้ก็มีการใช้กลไกต่างๆ อยู่แล้ว ก็ว่ากันไปตามกฎกติกาที่วางไว้…จึงเรียงลำดับความสำคัญไว้รองลงไป
ลุ้นแต่ว่าในการชุมนุมครั้งนี้จำนวนผู้มาแสดงพลังของเราจะต้องมากมายพอสมควร อย่าให้แพ้การรวมตัวของชาวเขมรเมื่อสัปดาห์ก่อนเป็นอันขาด
เมื่อผลออกมาว่าพี่น้องประชาชนมาร่วมชุมนุมมืดฟ้ามัวดินไม่ตํ่ากว่า 6-7 หมื่นคน จากการประมาณด้วยสายตาและภาพที่เห็นจากการไลฟ์สดผ่านยูทูบหลายต่อหลายช่อง พร้อมส่งเสียงตะโกนกึกก้อง และโบกธงชาติไทยสะบัดพลิ้วสู้ฝนสู้ลมอย่างไม่ย่อท้อ ผมจึงรู้สึกปีติใจ ภาคภูมิใจ และขอขอบคุณพี่น้องทุกๆคนทั้งที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และทั่วประเทศไทย
ขอบคุณสำหรับการชุมนุมที่เป็นระเบียบเรียบร้อย เคารพกฎหมายอย่างดียิ่ง ขอบคุณนักร้องดังๆ หลายๆ ท่านที่ไปช่วยร้องเพลงแทนหัวใจคนไทยทั้งชาติ โดยเฉพาะ หรั่ง ร็อกเคสตร้า ที่ร้องได้อย่างซาบซึ้งกินใจ และอาจารย์ ธนิสร์ ศรีกลิ่นดี ศิลปินแห่งชาติที่เป่าขลุ่ยเพลง “เดือนเพ็ญ” ส่งท้ายได้อย่างไพเราะ
เหนืออื่นใดต้องขอขอบคุณช่างภาพไทยรัฐออนไลน์ ของเรา ที่ถ่ายภาพมวลชนรอบๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ภายใต้โค้ง “รุ้งกินนํ้า” เต็มโค้งที่ยาวเหยียด และยิ่งใหญ่ ถือเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่สมบูรณ์อย่างยิ่งภาพหนึ่ง
ตามความเชื่อของคนไทยมาแต่โบราณว่าในการประกอบการมงคลใดๆ ก็ตาม เมื่อปรากฏ “รุ้งกินนํ้า” เต็มโค้งขึ้นรองรับ ก็จะถือว่าเป็นมงคลสูงสุดและงานใหญ่ชิ้นนั้นจะประสบผลสำเร็จ
ผมจึงหวังอย่างเต็มเปี่ยมว่าเราจะมีชัยชนะเหนือ “2 พ่อลูก” เขมร โดยไม่ต้องสูญเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว และไม่สูญเสียผืนดินแม้ตารางนิ้วเดียว…ผมหมายถึงในระดับประเทศนะครับ ส่วนในระดับ “ตระกูล” ใครจะหักหลังใคร? ใครจะแพ้ใครจะชนะ? คนไทยไม่เกี่ยวอยู่แล้วครับ!
“ซูม”